หน้าเว็บ

22 ตุลาคม 2551

อายุของเครื่องสำอางค์ยาวนานแค่ไหน





หลายคนคงเคยเจอปัญหาเครื่องสำอางค์มี..สี..กลิ่น..เพี้ยนไป


หรือซื้อเครื่องสำอางค์แล้วปรากฏว่า..กลิ่นไม่ค่อยดี

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า..

เครื่องสำอางค์แต่ละชนิด..

มีอายุการใช้งานยาวนานแค่ไหน..นับจากวันที่ผลิต



ครีมรองพื้น - อายุการใช้งาน 2 ปี

เนื้อครีมในขวดจะแตกเป็นชิ้นๆ

เมื่อเขย่าขวดแล้วจะไม่ผสานเป็นเนื้อเดียวกัน

มีสีและกลิ่นเพี้ยนไปจากเดิม

ทาแล้วไม่เรียบเนียน

หรือมีเม็ดเหงื่อบนเนื้อครีม









มอยส์เจอร์ไรเซอร์ - อายุการใช้งาน 2 ปี

เนื้อครีมแยกเป็นชิ้นๆ ไม่เนียน

สีของครีมเปลี่ยนไปเป็นสีเหลืองหรืออมส้ม

กลิ่นก็ไม่หอมน่าใช้







ลิปสติก - อายุการใช้งาน 2 ปีครึ่ง

มีกลิ่นหืน สีสันเปลี่ยนไป

เนื้อครีมจะจับเป็นก้อนและแห้งมาก

ทาแล้วไม่เนียนหรือทายากขึ้น

ไม่ได้รูปปากดังปรารถนา







อายแชโดว์, บลัชออน - อายุการใช้งาน 3 ปี

เนื้อสีประกายมุกกลายเป็นสีด้าน

ไม่แวววาวเหมือนก่อน

เนื้ออายแชโดว์แตกเป็นผงทาไม่ติด

เกลี่ยได้ยาก สีซีดจาง





















การเลือกชุดชั้นในให้เหมาะกับทรวงอก




อกเล็กแบนราบอย่างไข่ดาว หรืออกใหญ่พุ่งสล้างอย่างอกภูเขาไฟหน้าอกหน้าใจแบบไหนเป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล แต่ถ้าจะเรียกว่า อกสวยนั้นต้องไม่คล้อย ไม่หย่อนยาน มีขนาดกำลังพอดิบพอดี
สวมใส่เสื้อผ้าชิ้นไหนก็ดูดีมีเสน่ห์น่าประทับใจ สวยสมวัยและรูปร่างที่คุณมี เรามีทรวงอกแต่ละแบบมาให้คุณสาว ๆ ได้ทราบกันว่า หน้าอกหน้าใจของคุณน่ะเป็นรูปทรงใด


อกลูกเชอรี่
คุณสาว ๆ ที่มีอกรูปเชอรี่นั้น ถือว่าเป็นอกที่ค่อนข้างเล็กและแบนราบจนเห็นฐานเต้าไม่ชัด ความพุ่งชันของกล้ามเนื้อมีน้อยมาก การเลือกยกทรงจึงควรเลือกสวมใสแบบเสริมฟองน้ำ เพราะจะช่วยให้ทรวงอกดูมีเนื้อมีหนังมากยิ่งขึ้นไม่ดูเรียบแบนจนเกินงามค่ะ

อกลูกมะนาว
อกแบบนี้เป็นลักษณะของอกที่มีฐานของเต้านมกว้าง มีความพุ่งชันของกล้ามเนื้อ ทรวงอกค่อนข้างน้อย การเลือกใช้ยกทรงควรเลือกแบบเต้าสามเหลี่ยมมีฐาน เพราะยกทรงชนิดนี้สามารถช่วยเก็บเนื้อด้านข้าง ทำให้ทรวงอกคงที่ ช่วยอำพรางให้หน้าอกแลดูอวบอิ่มขึ้นได้ค่ะ

อกลูกแอปเปิ้ล
อกลูกแอปเปิ้ลนี้มีลักษณะเป็นครึ่งวงกลม เนินอกมีความพุ่งชันมาก ควรสวมเสื้อยกทรงแบบเต้ากลม เพื่อช่วยเก็บทรงให้เข้ารูปงดงาม

อกสับปะรด
เป็นหน้าอกที่ค่อนข้างใหญ่ แต่ฐานอกเล็ก เนื้อของเนินอกขยายออกด้านข้างมาก การเลือกสวมใส่บรา ควรเลือกยกทรงที่สามารถเก็บทรงด้านข้างของทรวงอกได้ทั้งหมด หรือยกทรงแบบเต็มทรงนั่นเองค่ะ

อกลูกแพร์หรือสตรอเบอรี่
เป็นอกที่มีความหย่อนคล้อยลงเล็กน้อย ลักษณะอกแบบนี้ควรเน้นและเลือกใช้ยกทรงแบบที่มีเสริมโครงแบบอ่อน ๆ เพราะจะช่วยยกกระชับหน้าอกให้ดูอวบอิ่มไม่หย่อนยานค่ะ


การสวมใส่ยกทรง
คุณผู้หญิงควรก้มตัวไปข้างหน้า แล้วสวมบราเกี่ยวขอให้เสร็จเรียบร้อยก่อนในท่าก้มนี้ แล้วค่อยยืดตัวตรงตามปกติ เพราะการสวมยกทรงในขณะที่ก้มปล่อยทรวงอกลงมา จะเป็นวิธีการที่จะช่วยประคองทรวงอกให้เข้ารูปไว้ได้เป็นอย่างดีที่สุดค่ะ



เลือกซื้อเสื้อชั้นใน…ให้เป็น
  • วิธีวัดเริ่มจากวัดขนาดรอบอก ให้ใช้สายวัด (เป็นนิ้ว) วัดรอบลำตัวบริเวณใต้หน้าอก เพื่อไม่ให้ยกทรงคับหรือหลวมเกินไป
  • วิธีวัดขนาดหน้าอก เพื่อหาคัพที่เหมาะสม ให้ลองใส่และดูว่า (ยอด) หน้าอกสวม (ชน) เข้ากับส่วนที่แหลมที่สุดของยกทรงพอดีหรือไม่
  • ขณะลองใส่ดูว่าสายเสื้อชั้นในไม่ควรหลวมตกจากขอบไหล่ หรือรัดกดเนื้อเป็นรอยแดง
  • คุณสาว ๆ หน้าอกใหญ่ควรเลือกยกทรงที่มีแถบคาดหลังชนิดกว้าง จะช่วยพยุงหน้าอกและเก็บเนื้อใต้แขนได้อย่างดี
    จำไว้ว่า…เสื้อชั้นในที่คุณรู้สึกสบายเมื่อสวมใส่ จะช่วยให้หน้าอกได้รูปทรง ไม่คล้อยยาน
  • ใส่เสื้อชั้นในให้ถูกวิธีเพื่อทรงสวย* เริ่มต้นใส่ที่บริเวณเอว หมุนตะขอมาติดด้านหน้า จากนั้นค่อยหมุนกลับไปด้านหลัง โน้มตัวไปด้านหน้า ใช้มือช้อนเนื้อหน้าอกจากด้านนอกลำตัวให้เข้าไปอยู่ในทรง (คัพ) พร้อมสอดแขนสองข้าง เท่านี้ยกทรงจะช่วยพยุงหน้าอกของคุณให้กระชับและอยู่ทรง

ข้อห้าม…เพื่อยืดอายุเสื้อชั้นในไว้ใช้อีกนาน
  • ห้ามซักรวมกับเสื้อผ้าอื่น ๆ ควรแยกชุดชั้นใน ถ้าเป็นไปได้ควรแยกสีเข้ม-สีอ่อน
  • ห้ามใส่สารฟอกขาวทุกชนิด ควรใช้น้ำยาซักผ้า
  • ห้ามแปรง ใช้วิธีขยี้อย่างเบามือ ถ้ามีคราบที่ต้องใช้แปรง ควรใช้แปรงขนนุ่ม
  • ห้ามขยำเสื้อในในน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้งจนหมดฟอง ห้ามบิด ใช้วิธีบีบน้ำออ


การทำน้ำแข็งแห้ง




การทำน้ำแข็งแห้ง
น้ำแข็งแห้ง (dry ice) คือ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่อยู่ในสถานะของแข็งที่อุณหภูมิประมาณ -79 0C







หลักการทำน้ำแข็งแห้ง คือ เพิ่มความดัน และลดอุณหภูมิ วัตถุดิบที่ใช้คือ ก๊าซ CO2




แผนผังการทำน้ำแข็งแห้ง



จากแผนภาพ กระบวนการทำน้ำแข็งแห้งพิจารณาได้ต่อไปนี้

เริ่มต้นนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาทำให้เป็นของเหลวก่อน โดยกระบวนการ Liquefaction คือนำก๊าซดังกล่าวมาเพิ่มความดันและลดอุณหภูมิ หลังจากได้คาร์บอนไดออกไซด์เหลวแล้ว จึงนำมาทำให้แห้งและทำให้บริสุทธิ์ด้วยวิธีการที่เหมาะสม จากนั้นจึงนำมาเพิ่มความดันและลดอุณหภูมิอีกครั้ง จนได้ความดันประมาณ 18 atm และอุณหภูมิประมาณ -25 0C จึงอัดคาร์บอนไดออกไซด์เหลวนั้นผ่านรูพรุน จะได้คาร์บอนไดออกไซด์แข็ง หรือน้ำแข็งแห้งที่มีลักษณะคล้ายเกล็ดน้ำแข็งซึ่งสามารถนำไปอัดเป็นก้อนได้

นำแข็งแห้งมีอุณหภูมิต่ำมาก สามารถระเหิดกลายเป็นไอได้โดยตรง จึงนำมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเย็น หรือที่ต้องการอุณหภูมิต่ำ ๆ เช่น การแช่แข็งสัตว์น้ำ การทำไอศครีม การรักษาผักและผลไม้ให้สด เป็นต้น

น้ำแข็งแห้งคืออะไร?
เหมือนหรือแตกต่างจากน้ำแข็งธรรมดาทั่วไปอย่างไร?
มีอันตรายมากน้อยแค่ไหน?
คำถามเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นในใจผู้อ่านหลาย ๆ ท่าน หลังจากที่มีข่าวคราวผลกระทบจากน้ำแข็งแห้งเกิดขึ้นหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา
น้ำแข็งแห้ง (dry ice) เป็นคาร์บอนไดออกไซด์ในสถานะของแข็ง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าคาร์บอนไดออกไซด์แข็ง หรือ solid carbon dioxide เตรียมได้จากการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาผ่านกระบวนการอัดและทำให้เย็นลงภายใต้ความดันสูงกลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์เหลว แล้วลดความดันลงอย่างรวดเร็วโดยการพ่นคาร์บอนไดออกไซด์เหลวสู่ความดันบรรยากาศ ผลที่ได้คือเกล็ดน้ำแข็งคล้ายเกล็ดหิมะ แล้วจึงนำมาอัดเป็นรูปแบบและขนาดต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ของการนำไปใช้ ซึ่งมีทั้งรูปแบบเป็นก้อน (block) ขนาดครึ่งถึง 15 กิโลกรัม เป็นแผ่น (slice) ขนาดตั้งแต่ครึ่งถึง 1 กิโลกรัมเป็นแท่ง (pellet) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 มิลลิเมตร 9 มิลลิเมตร และ 15 มิลลิเมตร เป็นต้น

น้ำแข็งแห้งแตกต่างจากน้ำแข็งธรรมดาทั่วไปคือ มีอุณหภูมิเย็นจัดถึง -790 C ในขณะที่น้ำแข็งธรรมดาทั่วไปมีอุณหภูมิประมาณ 0 0 C ที่อุณหภูมิห้องน้ำแข็งแห้งจะระเหิดกลายเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยไม่หลอมละลายเป็นของเหลวเหมือนน้ำแข็งธรรมดาทั่วไป จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงเรียก "น้ำแข็งแห้ง" น้ำแข็งแห้งจะให้ความเย็นมากกว่าน้ำแข็งธรรมดาทั่วไปถึง 2 หรือ 3 เท่าเมื่อเทียบโดยน้ำหนักหรือปริมาตรที่เท่ากัน

น้ำแข็งแห้งถูกนำมาใช้ประโยชน์หลาย ๆ ด้าน เช่น ในอุตสาหกรรมอาหารประเภทไอศกรีม นม เบเกอรี่ ไส้กรอก และเนื้อสัตว์ เพื่อถนอมอาหารในขั้นตอนการผลิตหรือในการขนส่งหรือเก็บอาหารสำหรับเสิร์ฟบนเครื่องบิน ใช้ในการขนส่งเวชภัณฑ์ใช้ในการทำความสะอาดเครื่องจักร แบบหล่อหรือแม่พิมพ์ หรือใช้ในการบดเย็นวัสดุสังเคราะห์ที่แตกยาก นอกจากนี้ยังใช้ในการทำหมอก ควัน ในการแสดงต่าง ๆ และอาจใช้ผสมในเครื่องดื่มเพื่อให้เกิดฟองปุด และให้เกิดความเย็น เป็นต้น

ถึงแม้น้ำแข็งแห้งจะมีประโยชน์นานัปการ หากการใช้โดยขาดความระมัดระวังหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็อาจก่อให้เกิดโทษได้เช่นกัน ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้จากน้ำแข็งแห้ง ได้แก่ จากการสัมผัส หากจับต้องด้วยมือเปล่าหรือสัมผัสกับผิวหนังโดยตรงจะทำให้ผิวหนังไหม้จากความเย็นจัด (frost-bite) ได้ จากการระเบิดซึ่งเกิดจากการบรรจุน้ำแข็งแห้งในภาชนะปิดสนิทไม่มีช่องระบายอากาศทำให้เกิดการสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ระเหิดออกมา เมื่อถึงระดับหนึ่งจะเกิดแรงดันและระเบิดในที่สุด ดังนั้นในการขนส่งน้ำแข็งแห้งปริมาณมาก ๆ จะต้องเก็บในภาชนะบรรจุน้ำแข็งโดยเฉพาะที่มีช่องระบายอากาศ ซึ่งนอกจากจะเป็นการป้องกันการระเบิดแล้วยังช่วยลดอัตราการระเหิดของน้ำแข็งได้

ผลกระทบอีกอย่างที่จะเกิดขึ้นได้ก็คือ การเก็บน้ำแข็งแห้งปริมาณมากในห้องแคบ ๆ หรือห้องเพดานต่ำที่การระบายอากาศไม่ดีพอ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ระเหิดออกมาจะแทนที่ออกซิเจนที่ทำให้ขาดอากาศหายใจได้ ดังนั้นห้องที่ใช้หรือเก็บรักษาน้ำแข็งแห้ง หรือห้องแสดงคอนเสิร์ตที่ต้องใช้น้ำแข็งแห้งในปริมาณมาก ๆ จึงควรที่จะจัดให้มีที่ระบายอากาศอย่างเพียงพอ โดยปกติก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะหนักกว่าอากาศจึงควรที่จะจัดให้มีที่ระบายอากาศอย่างเพียงพอ โดยปกติก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะหนักกว่าอากาศจึงมักจะลอยอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นการระบายอากาศที่ดีจึงควรมีการระบายอากาศทางด้านล่าง

จะเห็นได้ว่าการใช้น้ำแข็งแห้งในปริมาณมากส่วนใหญ่จะนำมาใช้ในทางอุตสาหกรรม ผู้บริโภคโดยทั่วไปอาจมีโอกาสสัมผัสน้ำแข็งแห้งได้จากรถจำหน่ายไอศกรีม น้ำแข็งแห้งที่แช่มากับอาหารหรือไอศกรีม ซึ่งเป็นปริมาณที่น้อยเมื่อเทียบกับการใช้ในภาคอุตสาหกรรม แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องพึงระวังก็คือ น้ำแข็งแห้งไม่ใช่น้ำแข็งหรือไอศกรีมห้ามบริโภคโดยตรงโดยเด็ดขาด อย่าหยิบจับน้ำแข็งแห้งด้วยมือเปล่า หากน้ำแข็งแห้งนั้นห่อด้วยกระดาษจะเป็นการป้องกันการสัมผัสได้อีกทางหนึ่ง แต่ถ้าหากเกิดอาการน้ำแข็งกัดจากการสัมผัสให้ล้างด้วยน้ำปริมาณมาก ๆ ก่อนไปพบแพทย์ ข้อพึงระวังอีกประการหนึ่งก็คือ อย่านำน้ำแข็งแห้งมาเป็นอุปกรณ์เล่นสนุก โดยเฉพาะต้องระวังในเด็ก ๆ ที่อาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่น การบรรจุในขวดปิดสนิทซึ่งจะทำให้เกิดการระเบิดได้ นอกจากนี้อย่านำน้ำแข็งแห้งเก็บในตู้เย็นเพราะจะทำให้ระบบทำความเย็นหยุดการทำงานได้เนื่องจากน้ำแข็งแห้งมีความเย็นมากกว่าความเย็นในตู้เย็น

น้ำแข็งแห้งหรือดรายไอซ์ (Dry ice) หรือชื่อที่เป็นทางการคือ คาร์บอนไดออกไซด์แข็ง (Solid carbon dioxide) ในปัจจุบันได้มีการนำมาใช้กันมาก ซึ่งน้ำแข็งแห้งนั้นมีสถานะเป็น ของแข็ง มีความเย็นจัดถึง ลบ ๗๙ องศาเซลเซียส ที่อุณหภูมิห้องจะระเหิดเป็นก๊าซโดย ไม่หลอมละลายเป็นของเหลวเหมือนน้ำแข็งทั่วไป

ด้วยคุณสมบัติของน้ำแข็งแห้ง จึงสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายทาง เช่น ใช้ใน
อุตสาหกรรมการถนอมอาหารและไอศกรีม ใช้ในการขนส่งเวชภัณฑ์ ใช้ในการทำหมอกควันในการแสดงบนเวทีต่าง ๆ รวมทั้งใช้ในอุตสาหกรรมด้านทำความสะอาดเครื่องจักร



อันตรายของน้ำแข็งแห้งอยู่ที่


๑. การหยิบจับ สัมผัส น้ำแข็งแห้งโดยตรง เพราะจะทำให้บริเวณที่สัมผัสไหม้จากความเย็นจัดได้ ดังนั้นจึงห้ามสัมผัสน้ำแข็งแห้งโดยตรง
๒. อาจทำให้เกิดระเบิดในกรณีที่นำน้ำแข็งแห้งมาใส่ภาชนะที่ปิดสนิท เนื่องจากแรงดันที่เกิดขึ้นจากการที่น้ำแข็งแห้ง ระเหิดกลายเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สะสมจนถึงระดับหนึ่งที่สามารถระเบิดได้
๓. การใช้น้ำแข็งแห้งในห้องแสดงคอนเสิร์ต ควรต้องมีการจัดการระบายอากาศที่ดีพอ โดยเฉพาะการระบายอากาศทางด้านล่าง เพื่อป้องกันการสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งจะทำให้ขาดอากาศหายใจได้
๔. หากใช้น้ำแข็งแห้งเพื่อความเย็นของไอศกรีม ควรห่อน้ำแข็งแห้งด้วยกระดาษหรือบรรจุในถุงกระดาษให้เรียบร้อย


ที่มา : http://www.atom.rmutphysics.com/charud/oldnews/0/286/2/3/gas/gas/data7.htm





ความเชื่อ 10 แบบที่คุณสาวๆ คิดว่าคุณผู้ชายไม่ชอบ....





คุณอาจจะพอมีความรู้มาบ้างว่า ผู้หญิงสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อยั่วยวนผู้ชาย แต่ผู้หญิงยังมีความสามารถที่น่าอัศจรรย์อีกมากซ่อนเร้นอยู่ และไม่มีใครค้นพบมาก่อน เสน่ห์ของผู้หญิงน่ะใช่แค่ หน้าอกบึ้บๆกับชุดรัดรึงเท่านั้นหรอกนะ

ทุกเรื่องที่คุณเคยพบหรือเคยอ่านมานั้น อาจจะทำให้คุณมีอคติว่า ผู้ชายคือพวกบ้าเซ็กซ์ (ซึ่งอาจจะจริง) แต่ก็ยังมีผู้ชายจำนวนไม่น้อยที่รู้ว่า มีอะไรน่าสนใจอีกมากในตัวผู้หญิงยิ่งไปกว่าเสื้อคอลึกหรือช่วงขายาวๆ ต่อไปนี้คือความเชื่อ (ผิดๆ) 10 อย่าง ที่หยิบยกมาให้อ่านกันค่ะ











1. จริงหรือไม่ ผู้ชายไม่จีบสาวใส่แว่น
คนที่คิดแบบนั้นคงไม่เคยเห็นสุดยอดนางแบบสาวสวย คริสตี้ เทอร์ลิงตั้น ใส่แว่นกรอบลายกระ หรือดาราสาวสวยอย่าง คาเมรอน ดิอาซ ผู้หญิงใส่แว่นไม่ได้มีภาพพจน์แบบป้าๆ เด็กเรียนเชยๆหรอกนะ แต่ดูแล้วเฉลียวฉลาดดีออก เพียงแค่ผู้ชายบางคนไม่ชอบผู้หญิงที่ฉลาดกว่าเท่านั้นเอง






2. จริงหรือไม่ ระวังอย่าให้รอยตะเข็บชั้นในโผล่มาให้ใครเห็น
ถ้าว่ากันตามกฎของวงการแฟชั่นแล้ว นี่อาจเป็นข้อห้ามที่ไม่ควรเผลอทำ แต่หากคุณถามหนุ่มๆธรรมดาทั่วไปแล้ว พวกเขาจะบอว่า "รอยตะเข็บกางเกงชั้นในที่ปรากฎขึ้นมาบนกางเกงนั้นแสนจะเซ็กซี่ การได้เห็นภาพรอยเลือนราง แม้จะไกลสัก 60 เมตร ก็พอแล้วล่ะที่จะทำให้หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ชะงัก เพราะมันเปรียบเสมือนการเชื้อเชิญกรายๆบอกเป็นนัยว่า คุณจะได้ค้นพบอะไรดีๆอีกมากมาย" แต่ไม่ใช่โผล่มาครึ่งตัวนะ นั่นไม่น่าดูเลยทีเดียวล่ะ







3. จริงหรือไม่ ผู้ชายชอบผู้หญิงผมยาว
ผู้ชายหลายๆคนจะชอบผู้หญิงที่ผมยาว เพราะดูเป็นผู้หญิ๋งผู้หญิง แต่โดยมากแล้วมักจะไม่ได้ใส่ใจกับผมสั้นผมยาว ตราบเท่าที่ผู้หญิงดูแลผมตัวเองได้ดีและมีบุคลิกที่ดี ผู้ชายหลายคนชอบมองผู้หญิงผมสั้นด้วยซ้ำไป ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะพวกเขาชอบมองต้นคอขาวๆยังไงล่ะ









4. จริงหรือไม่ ผู้หญิงต้องแต่งหน้าเข้มๆเพื่อดึงดูดความสนใจ
ถ้าคุณเคยนั่งอยู่หน้ากระจก แต่งหน้าโดยโปะอายแชโดว์ ปัดแก้มเพียบ ใส่ขนตาปลอม และละเลงลิปสติกอย่างเมามันส์ แต่งหน้าจัดจนเป็นงิ้วซะงั้น ลองเปลี่ยนความคิดใหม่เถอะ แน่นอนว่าผู้ชายส่วนใหญ่ชอบผู้หญิงที่ใส่ใจกับความงาม แต่จริงๆแล้วผู้ชายส่วนมากชอบผู้หญิงที่ไม่แต่งหน้าเลย (ไม่เชื่อลองถามแฟนคุณสิ) เพราะยามไม่แต่งหน้าผู้หญิงจะดูสาวขึ้น หน้าใสขึ้น เวลาจูบก็ให้ความรู้สึกดีกว่า เพราะไม่งั้นเวลาหอมแก้มหรือจูบสาวซักที หนุ่มๆต้องฝ่าด่านเมกอัพหนาเตอะ ที่เธอพอกเอาไว้ทุกที







5. จริงหรือไม่ ผู้ชายไม่ให้เกียรติผู้หญิงที่ดื่มเหล้า
ถ้าดื่มบ้างก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งเหมือนกัน หากยังรักษามาดกุลสตรีไว้ได้ ไม่เอะอะโวยวายเหมือนผู้ชาย ดังนั้นสำคัญตรงที่ว่า ดื่มแล้วคุณจะทำตัวอย่างไรมากกว่า






6. จริงหรือไม่ ผู้ชายชอบผู้หญิงผอมๆ
รูปร่างผอมแห้งอาจจะดูดีสำหรับการเป็นนางแบบใส่เสื้อผ้าเดินแบบบนแคตวอล์ก แต่ถ้าถามผู้ชายทั่วไปที่ปกติหน่อย พวกเขาจะบอกคุณว่าผู้หญิงเดินดินที่เขาสามารถนอนกอดได้น่ะ เจ๋งกว่าผู้หญิงที่มีแต่กระดูก ผู้หญิงผอมแห้งมองแล้วน่าผวามากกว่า ไม่มีอะไรเด็ดไปกว่าผู้หญิงหุ่นอึ๋มๆเนื้อตัวอบอุ่น น่ากอด น่าเคี้ยว นุ่มนิ่ม ผู้หญิงแบบที่ว่านี้แหละสุดยอด









7. จริงหรือไม่ ต้องใส่ชุดชั้นในเซ็กซี่ถึงจะยั่วหนุ่มได้
แบบนั้นก็ดีอยู่หรอก แต่อย่าได้ดูถูกกางเกงในแบบธรรมดา พวกสีขาวธรรมดานี่แหละ เป็นอะไรบางอย่างที่สดใส ชวนมอง เพราะดูบริสุทธิ์สะอาดช่างไร้เดียงสา เร้าอารมณ์ได้อีกแบบ








8. จริงหรือไม่ ผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงที่มีอำนาจหรือความสามารถ
ผู้ชายแท้ๆ มักจะมองหาสาวมาดเข้มในชุดสูททำงานเนี้ยบๆ ใส่ส้นสูงแหลมเป็นเข็มดั่งอาวุธของเธอ แบบนี้แหละเร้าอารมณ์ ถ้าไม่ตกอยู่ในอำนาจของเธอ ก็ต้องขอลองปราบเธอให้ได้ล่ะ









9. จริงหรือไม่ ผู้หญิงสวยไม่ควรมีเหงื่อออก (เวลาเหนื่อยๆ แค่หน้าแดงก็พอ)
เหลวไหลน่ะ ใครคิดยังงั้นก็บ๊องแล้วล่ะ ไม่มีอะไรจะเทียบได้กับภาพเม็ดเหงื่อที่ไหลช้าๆลงมาบนใบหน้าที่แดงก่ำ หลังจากซาวน่า อาบแดด หรือออกกำลังกายมา เซ็กซี่จริงๆ ให้ตายสิ







10. จริงหรือไม่ ผู้ชายชอบผู้หญิงใส่ชุดสั้นๆรัดรูป
ถ้ามีสาวใส่ชุดสั้นรัดรูปเดินผ่านมา ผู้ชายไม่ไล่ไปหรอก แต่ผู้หญิงในชุดยาวหลวมๆน่าสนใจกว่าเยอะเลย เวลาลมพัดปลิวแนบเนื้อช่างยั่วยวนดีออก อาจจะเห็นช่วงขาอ่อนของเธอ เป็นอะไรที่เซ็กซี่สุดๆ ปล่อยให้เขาจินตนาการต่อ ตรงนี้แหละสำคัญที่สุดแล้วสำหรับหนุ่มๆทั้งหลาย




นี่สิ..ผู้หญิงที่ผู้ชายหลงรัก.


เคล็ดลับเด็ดที่ทำให้ตัว เองกลายเป็นผู้หญิงทรงเสน่ห์

ต่อให้สไตล์ความชอบผู้หญิง ในมุมมองของผู้ชาย จะมีมากมายหลากรูปแบบ ประเภทที่บางรายอาจชอบสาวเปรี้ยว สาวห้าว สาวแกร่ง สาวน้อย คิกขุหวานแหวว สาวนุ่มนิ่มเรียบร้อย หรือสาวช่างฝันก็ตาม

แต่หากถามว่า ผู้หญิงแบบไหนที่ ผู้ชายสามารถรักได้ไม่ยากนี่สิ คงต้องคิดหนัก ว่าแบบฉบับเวอร์ชั่นไหนถึงจะถูกใจทำให้ชาย หลงใหลได้ปลื้มจนเกิดอาการปิ๊งได้ คงต้องมีสูตรลับพิเศษที่จะช่วยเสริมแต่ง ให้กับสาวๆ ทุกสไตล์ แอบเก็บเอาไปไว้ใช้เป็นคุณสมบัติพิเศษทำเก๋ให้คุณ ผู้ชายได้ใฝ่ฝันถึง

ไม่ว่าคุณจะเป็นสาวสไตล์ไหน เคล็ดลับเด็ดที่ทำให้ตัว เองกลายเป็นผู้หญิงทรงเสน่ห์จนเพศตรงข้ามเกิดอาการสะดุดรักได้ไม่ยาก มีดังนี้ค่ะ

1. เอาใจเก่ง
เสน่ห์ของหญิงข้อนี้ แม้จะเป็นสิ่งที่คุณๆ ทั้งหลายรู้ดี แต่ก็ไม่ค่อยมีใครทำกันสักเท่าไหร่ เพราะมัวหยิ่งบ้าง ไม่กล้าบ้าง แบบนี้เห็นทีต่อให้เริดแค่ไหน ถ้าขาดนิสัยความเป็นสาวช่างเอาอกเอาใจ ไม่ว่าผู้ชายหน้าไหนก็ไม่มีใครชอบ หรอก เพราะสิ่งนี้คือสิ่งที่ผู้ชายทุกคนปรารถนา


2. อ่อนหวาน
สาวห้าวอย่าเพิ่งร้องโวยเป็นอันขาด และโปรดทำใจรับรู้และ ยอมรับซะเถอะว่า บางครั้งหัวใจสาวห้าวอย่างคุณก็เคยมีช่วงเวลาของการ แสดงออกที่บ่งบอกถึงความอ่อนโยนได้เหมือนกัน ไม่ต้องถึงขนาดเปลี่ยนตัวเองให้เป็นสาวหวานฉ่ำ แค่มีความ อ่อนโยนอ่อนหวานติดตัวไว้บ้าง ก็เพียงพอแล้ว อย่างน้อยบางอารมณ์น่าจะพูดจาอ่อนโยนน่าฟังบ้าง ไม่ว่ากับเขาหรือคนอื่นๆ มันจะยิ่งทำให้คุณดูดีขึ้น อีกเยอะ

3. เปิดเผย
ข้อนี้สาวขี้อายอาจมีปัญหา แต่การเปิดเผยไม่ได้หมายความว่า จะต้องถึงขั้นทำตัวห้าวหาญแต่อย่างใด การเปิดเผยในที่นี้หมายถึง ให้คุณ แสดงความจริงใจบ้างเล็กๆ น้อยๆ เพื่อบอกให้เขารู้ว่าคุณชอบเขา ทำอะไร อย่าเหนียมมากไป ร้อนก็บอกว่าร้อน เผ็ดก็บอกว่าเผ็ด กล้าคุยเรื่องหน้าแตก ของตัวเองให้เขาฟังบ้าง คุณจะดูเป็นคนอบอุ่น และไม่มีลับลมคมในอะไร ซ่อนไว้

4. หัวอ่อน
จะเอาใจแฟนทั้งที มันต้องมีบ้างที่ต้องหัดเป็นคนหัวอ่อน ยอมเออออตามเขาไปในบางครั้ง แต่ที่ให้ยอมนั้น ไม่ได้หมายความว่า จะให้ยอมไปซะทุกเรื่อง ทุกอย่างเหมือนดังเช่นเป็นทาส แค่เชื่อฟังเขาบ้างในบางโอกาส และยอมรับ ในสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลด้วยเช่นกัน เพราะถ้าขืนทำตัวก๋ากั่นดื้อรั้นชนิดไม่ฟัง ใครเลย ไม่ว่าจะแฟนคุณหรือใครๆ ก็คงไม่ชอบหรอกค่ะ

5. ปราดเปรียว
ผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงที่อืดอาดเกินเหตุ แม้ใจจะยังปรารถนาแม่ ศรีเรือนผู้งามพร้อม เพราะยุคสมัยนี้ ความคล่องแคล่ว ปราดเปรียวนี่ละ ที่เป็นเสน่ห์หนึ่งของผู้หญิงยุคใหม่

6. ออดอ้อน
ผู้หญิงที่ยอมออดอ้อนคู่รักบ้างในโอกาสเหมาะๆ พระเอกของ คุณคงรักจนหมดใจแน่นอนแต่อ้อนพองามนะคะ ไม่เช่นนั้น อาจกลายเป็น น่ารำคาญไป

7. อารมณ์ขัน
ไม่ว่าสเปกของเขาจะชอบสาวเงียบขรึม หรือสาวแข็งกระด้าง อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย ผู้ชายจะเซ็งคุณได้สักวัน เมื่อเขารู้สึกว่าอยู่กับคุณแล้วโลกไม่สดใส สักวันหนึ่งเขาคงจะตีจาก แต่คุณไม่จำเป็นต้องตลกโจ๊กเป็นตลกมืออาชีพหรอก เพียงแค่รู้จักเล่าเรื่อง สนุกๆ ขำๆ บ้าง หัวเราะร่าเริงเมื่อคนอื่นคุยเรื่องตลก ไม่ใช่หน้าแข็งอารมณ์ เดียวตลอดเวลา จะทำให้น่าเบื่อที่สุด และไม่ใช่นั่งนินทาใครให้คนหัวเราะ เพราะผู้หญิงขี้นินทาไม่มีเสน่ห์นักหรอก

8. ฟอร์มเหมือนไม่มีฟอร์ม
ผู้ชายจะไม่พิสมัยผู้หญิงที่เก๊กหรือฟอร์มตลอดเวลา ดังนั้น ขอให้คุณทำตัวเป็นธรรมชาติที่สุด อยากคุยอยากถามอะไรกับเขาก็ทำ หรือปวดฉี่ก็บอกได้ ไม่ต้องนั่งเก๊กแล้วรอให้คนอื่นมาชวนคุย

9. มีน้ำใจ
ควรแสดงความมีน้ำใจห่วงใยเอื้ออาทรออกมาบ้าง ไม่ว่าจะกับ เขาหรือกับใคร เพราะคนใจดำไร้น้ำใจคงไม่มีเสน่ห์แน่นอน

10. เข้าใจง่าย
ควรมองโลกในแง่ดี ไม่เจ้าปัญหาจนน่ารำคาญ หัดเป็นคน ง่ายๆ ไม่จู้จี้จุกจิกมากเกินไป การแสดงความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ได้ดี เป็นการแสดงถึงนิสัยใจคอของคุณเอง ที่คนพิเศษของคุณจะเห็นได้ทันที และทำให้เขาเชื่อใจคุณ เพราะคุณเข้าใจเขาได้ดี มีเรื่องอะไรเขาก็จะเปิดเผย ให้คุณรู้ และชอบที่จะนั่งสนทนากับผู้หญิงที่เปี่ยมเสน่ห์แบบคุณ

20 ไอเดียง่ายๆ ช่วยคุณเผาผลาญแคลอรี่


20 อย่างต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่คุณทำได้ง่ายๆเป็นประจำอยู่แล้ว เพียงแต่ทำแล้วให้ผลในเรื่องของการลดน้ำหนักไปในตัว

1. จิตใจ - จิตใจเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการที่คุณจะตั้งใจหรือเริ่มต้นจะทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จ แต่ก็ไม่ควรมุ่งมั่นมากจนทำให้กลายเป็นการบังคับตัวเอง เพราะจะทำให้รู้สึกว่าอึดอัดทรมาน และไม่ควรคิดว่าจะทำเพื่อใคร นอกจาก "ตัวเอง" ให้คิดซะว่า..เพื่อความดูดี ใส่เสื้อผ้าแล้วสวย เลือกซื้อเสื้อผ้าง่ายๆ สุขภาพที่ดีขึ้น

2. เวลาและความอดทน - ต้องคิดซะว่า "ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ" ก็เหมือนกับน้ำหนัก มันก็ไม่ได้มาในเวลาแค่ไม่กี่สัปดาห์ ดังนั้นการจะเอามันออกก็ต้องใช้เวลาเหมือนกัน เวลาลดน้ำหนักก็ไม่ควรที่จะตั้งเวลาและเป้าหมายที่บีบตัวเองเกินไป เช่น จะลดให้ได้ 3kg ใน 1 สัปดาห์ พอทำไม่ได้ก็จะท้อ เครียด แล้วก็จะเลิกทำ ควรตั้งเฉพาะเวลาที่เราจะตรวจสอบตัวเองก็พอ เช่น จะชั่งน้ำหนักหลังจากควบคุมอาหารไปแล้ว 2 สัปดาห์ จะลดเท่าไหร่ไม่สำคัญเพราะร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ก็ต้องใช่เวลาต่างกัน ในช่วงแรกบางคนน้ำหนักลดแต่ขนาดตัวไม่ลด หรือบางคนน้ำหนักไม่ลดแต่ขนาดตัวลดลง หรือลดทั้งสอง หรือไม่ลดทั้งสองแต่รู้สึกดีขึ้นไม่อืดอัดตัวเองเหมือนเดิมก็ดีแล้ว ดีกว่าที่เราไม่เริมต้นทำอะไรเลย 60kg ยังไงก็ยังงั้น ดังนั้นความอดทนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

3. อาหารมื้อหลัก - เป็นอาหารมื้อที่สำคัญมาก (โดยเฉพาะมื้อเช้า จะเป็นมื้อที่กระตุ้นการเผาผลาญของทั่งวัน) ไม่ควรอดอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ระบบเผาผลาญในร่างกายของเราทำงานผิดปกติ เช่น อดมื้อเย็น เมื่อมื้อเย็นเราไม่ทาน ร่างกายของเราก็จะปรับระบบเผาผลาญให้ลดลง ดังนั้นเมื่อเรากลับมาทานมื้อเย็น ก็จะทำให้อ้วนง่ายขึ้น แทนที่จะอดเปลี่ยนเป็นลด (โดยเฉพาะพวกคาร์โบไฮเดรต ทั้งหลายไม่ว่าจะ แป้ง น้ำตาล etc.) จะดีกว่า และที่สำคัญ "เมื่อถึงเวลาอาหารมื้อหลักควรจะกิน" จะได้ไม่หิวอย่างอื่น

4. ปริมาณอาหาร - ปริมาณอาหารที่ทานเข้าไปในแต่ละวัน ควรสัมพันธ์กับกิจกรรมปกติที่เราทำในทุกๆ วัน และมีปริมาณใกล้เคียงกัน ไม่ควรมากไปหรือน้อยไป แต่ละมื้ออาหารควรทานให้อิ่มพอดีๆ (ยกเว้นอาจจะมีบางวันที่ต้องสังสรรก็ไม่ว่ากัน แต่ก็ไม่ควรกินซะเต็มที่จนแน่นท้อง) และไม่ต้องเสียดายอาหารที่เหลือในจาน แต่ให้คิดซะว่า..อาหารที่เหลือคือแคลอรีที่คุณลดได้

5. อาหาร- ประเภท/ชนิดอาหารก็สำคัญ ถ้าเลือกได้ก็ควรเลือก ถ้าเลือกไม่ได้ก็ควรลดลง
1) น้ำเปล่า - ดื่มน้ำให้บ่อยอย่างที่หลายๆ สูตรเขาแนะนำ (เพราะยังไงน้ำเปล่าที่สะอาดมีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่แล้ว) ถ้ารู้สึกหิว ก่อนที่คุณจะหาขนมนมเนยเข้าปาก ให้ลองดื่มน้ำเข้าไปสักครึ่งแก้ว ดูสิว่าหลังจากที่ดื่มน้ำเข้าไปแล้วยังรู้สึกหิวอีกมั้ย เพราะร่างกายของเราจะแยกไม่ออกระหว่าง "หิวกิน" กับ "หิว(กระหาย)น้ำ" ถ้ายังหิวอยู่อีกละก็ แนะนำว่า..ถ้าใกล้อาหารมื้อหลัก (1-1.5 ชม.)ก็ควรจะอดทนอีกนิด (ดิ่มน้ำอีกครึ่งแก้ว หรือไม่ก็หาพวกปลาเส้น "ห่อเล็ก" มาทานรองท้องก่อนก็ได้)
2) น้ำอุ่น - เมื่อรู้สึกอยากทานเครื่องดื่มอุ่นๆ อาจจะเพราะอากาศเย็นรึว่าอยากทาน แนะนำว่าให้ทานน้ำอุ่น หรือให้หาน้ำขิงหรือชาเขียว ดื่มแทนพวกกาแฟ หรือโกโก้ทั้งหลายจะดีกว่า (เคยอ่านมาว่าการดื่มกาแฟหนึ่งถ้วย เปรียบเสมือนทานข้าวไปสองจาน เข้าใจเลยว่าน่าจะเป็นพวกครีมกับน้ำตาลที่ผสมอยู่ เลยทำให้อ้วน)



5. กิจกรรม - ตามที่ได้บอกมาแล้วว่า "..ปริมาณอาหารที่ทานเข้าไปในแต่ละวัน ควรสัมพันธ์กับกิจกรรมปกติที่เราทำในทุกๆ วัน.." และถ้าหากเพิ่มกิจกรรมขึ้นได้จากเดิมก็จะช่วยให้เห็นผลเร็วขึ้น เช่น การออกกำลังการ แต่ถ้าไม่มีเวลา เราก็สามารถปรับเปลี่ยนบางอย่างที่เราทำ หรือควรจะทำอยู่แล้วในแต่ละวันเพื่อเพิ่มกิจกรรมให้มากขึ้น เช่น
1) ลิฟท์กับบันได จากที่เคยขึ้นลิฟท์ก็เปลี่ยนเป็นใช้บันได ถ้าทำงานที่ชั้นสูงๆ ก็อาจจะแค่ 2-3 ชั้นก็พอ ไม่ต้องเว่อมาก เดี๋ยวเหงื่อไหลกลิ่นตัวออก คนรอบข้างจะหนีหมด
2) รถเข็นกับตระกร้า จากที่เคยใช้รถเข็นก็เปลี่ยนเป็นใช้ตระกร้าเวลาไปซื้อของ แต่ถ้าจะต้องซื้อของเยอะก็เอาไปทั้งตระกร้าและรถเข็น จอดรถไว้ใกล้ๆ (อย่าให้ขวางทางคนอื่นล่ะ) แล้วก็ใช้ตระกร้าถึอไปหยิบของ พอตระกร้าเต็มหรอของที่หนักมากก็ขนใส่รถไว้ แล้วค่อยถึอตระกล้าเลือกของต่อ นอกจากจะได้ออกกำลังกายแล้วยังเดินสะดวก ไม่ต้องเข็นรถหลบกันไปมา
3) กินก่อนทำ หลายคนทำกิจกรรม (เช่น เดินช็อปฯ ทำความสะอาดบ้าน) แล้วก็มากิน พอกินเสร็จ "หนังท้องตึงหนังตาก็ย่อน ทั้งเหนื่อย ทั้งอิ่ม กลายเป็นหลับซะงั้น" จากเดินซื้อของจนเหนื่อยแล้วค่อยมากิน (แต่ถ้ากินเสร็จแล้วช็อปต่อก็โอเค) ทางที่ดีควรกินก่อนแล้วค่อยช็อป หรือบางคนกินข้าวเสร็จก็ไปดูหนัง ก็ควรจะเผื่อเวลาให้ดูหนังเสร็จแล้วค่อยมากิน (ไม่ง่วงในโรงหนังด้วยนะ)
4) นอนกับกิน นอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่และเต็มตา ดีกว่าตื่นขึ้นมายากกินนู้นนี่ เพราะผู้หญิงเราหากได้นอนหลับเพียงพอ ร่างกายจะสามารถเพิ่มระบบเผาผลาญได้มากขึ้นจากปกติถึง 40%(นอนมากก้อหยุดกินได้มาก)
5) ฯลฯ


5. สภาพแวดล้อม - ไม่ว่าจะคนหรือสิ่งของ คนรอบข้างนี่ก็สำคัญมาก เช่นครอบครัว เพื่อน แต่ละครอบครัวก็มีการรับประทานที่ต่างกัน ดังนั้นก็บอกที่บ้านเลยว่าเราจะกินอะไรได้บ้างหรือว่าก็กินเหมือนที่เคยกินแต่ลดลงเท่านั้นก็โอเคแล้ว หรือเพื่อนบางคนกินเยอะแต่ไม่อ้วน บางคนอ้วนแต่ก็กินเยอะไม่ลด ดังนั้นก็ไม่ต้องปิดบังว่าลดน้ำหนัก แต่ก็ไม่ต้องถึงกับว่าประกาศให้โลกรู้ ถามก็บอก ไม่ถามก็เฉยๆ หรือไม่ก็ชวนลดด้วยกันเลย แรกๆก็อาจจะมีเสียงนกเสียงกาบ้าง ("ก็อย่าไปสนใจเลย คนมันจะสวย จริงมั้ย") เพราะมันมีอยู่แล้วพวกเพื่อนบ้างประเภทที่ชอบทำเหมือนตัวเองกินเยอะ ไม่กลัวอ้วน แต่เชื่อเหอะว่า..ลึกๆ แล้ว "ผู้หญิงทุกคนกลัวอ้วน"
และสิ่งของก็เป็นแรงจูงใจได้หลายๆอย่าง เช่น ตู้เย็น อย่าพยายามสะสมอาหารไว้กิน พยามยามให้โล่งเปล่าไว้จะดีที่สุด แต่ที่ควรมีติดตู้นั่นก็คือ น้ำเปล่า และในช่วงแรกๆที่ยังปรับตัว (อาจจะหิวบ่อยๆ ซึ่งก็ไม่ต้องถึงกับอดเลย) ก็อาจจะมีผักติดดูเย็นไว้กินแก่หิวได้ เช่น แตงกว่า ถั่วผักยาว แครรอท จำไว้ว่าไม่ต้องหั่นเตรียมไว้ และอย่ามีอาหารที่สำเร็จรูปแบบสะดวกกินเกินไป แต่ควรเอาทำเมื่อหิวหรือถึงเวลาที่จะกินถึงเอามาทำ เพราะบางทีขี้เกียจทำก็อาจจะไม่อยากกินไปเอง

3. กฎเหล็กของการลดความอ้วนคือ การตัด ABC ออก A หมายถึง Alcohol(แอลกอฮอล), B หมายถึง Bread(ขนมปัง) และ C carbohydrates (คาร์โบไฮเดรต)


6. เคยมีผลวิจัยบอกว่า การได้ฟังดนตรีเพลงโปรด (ต้องเพลงช้าๆ นะ)นั้นเปรียบเสมือนได้ทานอาหารรสเยี่ยม ทีนี้เมื่อคุณเกิดอยากอาหาร ให้เปลี่ยนมาฟังเพลงเพราะๆ แทน ก้อจะช่วยได้ค่ะ

7. เตือนความจำตัวเองด้วยการนำชุดตัวเก่งที่คุณใส่ได้เมื่อครั้งยังผอม แขวนในตู้เสื้อผ้าที่คุณสามารถเห็นได้ชัดทุกวัน เพื่อเตือนความจำให้คุณอยากกลับมาใส่ชุดนี้อีกครั้ง (อย่าเอาไปบริจาคเสียหมดหละคะ)

8. เมื่ออยู่ห้องแอร์เย็นๆ ให้หาน้ำขิงหรือชาเขียวดื่มแทน กาแฟ กาแฟหนึ่งถ้วย เปรียบเสมือนทานข้าวไปสองจาน น่าตกใจไหมล่ะ (ป.ล. เข้าใจว่าน่าจะเป็นพวกครีมกับน้ำตาลที่ผสมอยู่ ทำให้อ้วนกระมัง)


10. ก่อนเข้าซุปเปอร์มาเก็ตทุกครั้ง ควรจดรายการที่ต้องการ และซื้อตามรายการที่จด แทนการเลือกซื้อแบบตามใจฉันจะนึกออก ณ ตอนนั้น หากตั้งใจช้อปของไม่มาก แนะนำให้ถือตระกร้าแทนรถเข็น เพราะนอกจากจะช่วยให้คุณได้ออกแรงแล้ว ยังช่วยไม่ให้คุณเลือกซื้อของเกินรายการที่ต้องการอีกด้วย (เมื่อยหน่อยก้อต้องทนเอานะคะ)

11. หลีกเลี่ยงการอยู่หรือทำงานในเวลากลางคืน เนื่องจากแสงของยามค่ำคืน และการนอนดึกจะยิ่งทำให้คุณอยากทานของจุกจิก หรือหิวระหว่างคืนได้ แต่หากคุณต้องดูหนังในเวลากลางคืนดึกดึกก็ให้เปิดไฟดวงน้อย เมื่อหนังจบจะได้แค่เอื้อมมือดับไฟนอนได้เลยไม่ต้องลุกผ่านตู้เย็นไปปิดไฟไงคะ (เดี๋ยวจะห้ามใจไม่ให้เปิดตู้เย็นไม่อยู่)

12. เปลี่ยนขนมจุกจิกเป็นลูกอม เพราะลูกอมมีแคลอรีเพียง 20 แคลอรี และสามารถช่วยให้คุณหายหิวได้ถึง 20 นาที

13. เติมความสดชื่นด้วยชาเขียว เพราะชาเขียวสามารถทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้น ควรหาชาเขียวมาดื่มร้อนๆ สักสามถ้วยต่อวัน(เน้นว่าชาเขียวร้อนนะคะ นัยว่าชาเขียวเย็นน่าจะไม่ช่วยอะไรค่ะ)

14. ทำเรื่องกินให้เป็นเรื่องใหญ่ โดยไม่ทานอาหารในขณะที่กำลังทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น ดูทีวีหรือเล่นอินเทอร์เน็ต หากต้องกิน ก็ควรนั่งกินบนโต๊ะอาหารอย่างเป็นเรื่องเป็นราวให้เป็นนิสัยค่ะ

15. หาเวลาสัก 20 นาทีต่อวัน สำหรับการเดินเล่น ชมสวน หรือนั่งเล่นท่ามกลางธรรมชาติ วิธีนี้นอกจากจะได้สูดอากาศบริสุทธิ์แล้ว ยังช่วยเผาผลาญแคลอรีต่อวันได้อีกไม่มากก้อน้อยด้วยนะคะ

16. ฝึกที่จะใช้บันไดแทนลิฟ หากคุณทำงานหรือเรียนอยู่บนชั้นสูงๆ ให้ขึ้นลิฟไปถึงก่อนชั้นทำงานหรือชั้นเรียนอย่างน้อย 2 สำหรับชั้นที่เหลือให้ใช้บันไดแทน จะได้ออกกำลังกายในระหว่างทำงานงัย

17. ปลดปล่อยอารมณ์ให้สุดเหวี่ยงขณะขับรถ โดยการฟังเพลงแดนซ์เพลงโปรดร้องออกมาดังๆ ขยับร่างกายตามเพลง ไม่ต้องไปสนใจใคร โดยเฉพาะหากรถยังแล่นอยู่ แต่ถ้ารถหยุดก้อสงวนท่าทีหน่อยก็ดีนะคะ

18. ยุ่งนัก หาเวลาออกกำลังไม่ได้ ให้หาถุงเท้าสบายๆ ใส่อยู่บ้านแล้วโลดแล่นให้ทั่วพื้นบ้าน จินตนาการว่ากำลังเล่นสเก็ตอยู่ เพียง 10 นาทีก็ช่วยคุณเผาผลาญแคลอรีได้ถึง 150 แคลอรีเชียวนะ

19. หาวีดีโอหรือวีซีดีออกกำลังกายสักหนึ่งชุด แล้วเปลี่ยนห้องของคุณให้กลายเป็นเฮ็ลท์คลับส่วนตัว เปิดแอร์ได้ไม่ว่ากันค่ะ

20. เปลี่ยนนิสัยขี้เกียจ แล้วเริ่มหัดทำงานบ้านเสียบ้าง เพราะทุกสิ่งที่คุณทำล้วนเปรียบเสมือนได้ออกกำลังกายและเผาผลาญแคลอรีในตัว







20 คำโกหกของผู้หญิง ที่ผู้ชายไม่เคยรู้


ตลอดเวลาที่ผ่านมา คุณอาจไม่รู้เลยว่า เธอไม่ได้พูดความจริง

1. " ชีวิตนี้ฉันจะไม่ขอรักใครอีกเมื่อไม่มีคุณ " ใครได้ยินคำนี้อย่าหลงดีใจ เพราะเค้าสามารถรักคนใหม่ได้ เมื่อต้องเลิกกันไปแล้ว เพราะเค้าทำให้คุณรักได้ คนอื่นก็รักได้

2. " คุณจะเป็นผู้ชายคนเดียวที่ฉันรักมากที่สุด " แม้เค้าจะแทงกั๊กประมาณว่าถึงจะมีกิ๊กใหม่ในอนาคต เค้าก้อไม่สามารถรักเท่าที่รักเธอ แต่อารมณ์ผู้หญิงแปรปรวนนะ บางครั้งยังไม่กล้าพูดว่ารักกันเลย ชอบเบี่ยงเบนว่าไม่รู้ แค่นี้ขนาดเจ้าตัวยังไม่รู้เลย

3. " เราจะอดทนเป็นแฟนกันจนแต่งงานในอนาคต " เค้าพูดด้วยความรู้สึกแบบเด็กๆที่ยังไม่ได้ผ่านสารพัดร้อยล้าน เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ซึ่งอาจทำให้ความรักสะดุดเมื่อไหร่ก้อได้ เมื่อหล่อนอาจสติแตกก่อนถึงวันนั้น
4. " ฉันไม่เคยยอมใครขนาดนี้มาก่อน " ถ้าเค้าเป็นคนที่นิสัยยอมคน เค้าก้อจะยอมกับผู้ชายทุกคนนั่นแหล่ะ แต่ถ้าไม่ยอมหละคุณเจ็บตัวแน่นอนต้องยอมเค้าโดยที่เธอไม่คิดปรับปรุง

5. " สิ่งที่ฉันทำลงไป พยายามทำดีที่สุดแล้ว " ถ้าเกิดเค้าได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว ต่อให้ผู้ชายคนนั้นหูหนวกหรือตาบอดยังไงก้อต้องรู้สึกได้ แต่เธอเล่นแต่ให้ผู้ชายพยายามเต็มที่ก่อนไม่คิดทุ่มเต็มที่ เหมือนกันกลัวเสียเปรียบซะงั้น

6. " ก้อฉันเป็นของฉันหยั่งงี้มานานแล้ว " เค้าพูดเพื่อให้คุณยอมรับนิสัยห่วยแตกของเค้า โดยอ้างความเป็นตัวของตัวเอง ไม่คิดปรับปรุงเพื่อคุณ

7. ให้อภัยฉันเถอะ ฉันจะไม่ได้ทำอีกแล้ว ธรรมดาที่เค้าจะต้องพูดเพื่อใหการอภัยโทษป้องกันชะตาขาด และคุณเชื่อหรอว่าเค้าจะไม่พูดคำนี้อีกและอีกๆๆๆๆ เหมือนมีดที่พร้อมแทงข้างหลังคุณทุกเมื่อ

8. " ไม่รักไม่เป็นไร ขอแค่ให้ฉันได้รักคุณก็พอ " แค่คุณแสดงให้เห็นว่ายังไงคุณก็ไม่มีวันรักเค้าได้จริงๆ ขี้คร้านจะรีบเด้งตัวเองจากไปภายในไม่กี่วัน พร้อมด้วยคำนินทาคุณอีกก้อนใหญ่

9. " คิดถึงจนทนไม่ไหวแล้ว ออกมาเจอกันหน่อยนะ " เธออาจจะถวิลหาคุณจริงๆ แต่ไม่ได้รุนแรงถึงกับจะลงแดงตาย เหมือนคุณเป็นยาเสพย์ติดของเค้าขนาดนั้น

10. " ทำไมหรอ .. ฉันเลวจนคุณไม่ไว้ใจได้เลยหรอ " เมื่อมีความไม่พอใจต่อการกระทำของเธอในทุกกรณี เธอจะต้องรีบปกป้องตัวเอง เพื่อแตะเบรค ความคิดของคุณ ว่าทำไปเพราะรักคุณ

11. " ขอนอนกอดเฉยๆ ก้อพอ " นั้นหมายถึง การกอดในครั้งแรกที่ใกล้ชิดตัวกันมากขนาดนั้น ต่อมาคุณจะใจแข็งไหวเหรอ ...

12. " ฉันรักนะเลยอยากให้คุณเป็นของฉันคนเดียว " เพราะถ้ารักจริงทำไมต้องขอเอาเปรียบเราด้วย อะไรๆ เรื่องนี้ไม่ได้หรือไง ไม่มีอิสระทำอะไรก็ระแวงเกินเหตุ

13. " เค้าคนนั้นเป็นแค่เพื่อนจริงๆ " ไม่มีทางซะหรอกที่เมื่อมีผู้ชายมากิ๊ก แล้วเธอจะปฏิเสธเป็นแค่เพื่อน เผื่อเลือกไว้ก่อน ( แค่เพื่อนแต่เห็นโทรมาบ่อยจริง )

14. " ผู้ชายคนนั้นเค้ามาชอบฉันเอง " ฟังแล้วน่าภูมิใจที่แม่ตัวดีมีเสน่ห์เหลือร้าย แต่ช้าก่อนเพราะเพลงของปานนำมาใช้ได้กับคำโกหกคำนี้เสมอ " ตบมือข้างเดียวไม่ดัง " แถมไม่บอกไปหละมีแฟนแล้วโว้ยแล้ว

15. " เพื่อนมันลากฉันไป ฉันอยากไปกับมันซะที่ไหนเล่า " ถ้าไม่อยากไปจริงๆ แม้เค้ามาฉุดยังไงก้อไม่ยอม ดังนั้นถ้าเค้าไม่ถูกเพื่อนเอาปืนจ่อหัว อย่าไปเชื่อว่า เค้าไม่อยากไปเฮกับเพื่อน ตัดสินใจเข้าข้างตัวเองซะหมด มองข้ามเราไปเลย

16. " ฉันไม่ว่างจริงๆ อยากเจอเธอจะตายไป " คำว่าไม่มีเวลาว่างของเค้าก้อคือไม่อยากไปเจอเธอนั่นเอง และที่มันไม่ว่างเพราะว่าหายไปเฮกับเพื่อนๆ หรือกิจกรรมที่เร้าใจกว่าของเค้า ดีกว่าอยู่กับเรา

17. " ไม่มีทางที่ฉันจะเห็นเพื่อนสำคัญมากกว่าเธอ " ซึ่งเป็นที่รู้ๆกันดีอยู่ว่าคำพูดผู้หญิงจะพูดกับผู้ร่วมแก๊งขาเมาท์ว่า " เฮ้ย ฉันน่ะไม่เคยเห็นแฟนสำคัญกว่าเพื่อนอยู่แล้ว "

18. " มีอะไรเราต้องไม่ปิดบังกันทุกเรื่อง " แม้จะรักกันปานหายใจปอดเดียวกัน แต่เชื่อเหอะว่าทุกคนย่อมมีความลับของตัวเองบ้าง และผู้หญิงไม่มีวันคายความลับของตัวเองออกมาอย่างแน่นอน ถ้าตัวเองกลัวเดือดร้อนไม่ไว้ใจคนที่รักกัน

19. " ถ้าวันไหนต้องเลิกกัน ฉันยังจะห่วงเธอเหมือนเดิม " มันไม่มีทางจะเป็นไปได้อยู่แล้ว อย่างน้อยที่สุดก้อไม่มีทางว่าจะห่วงใยกันได้เท่าเดิม

20. " ถ้าวันไหนที่คุณจะจากไปหรือกลับมา ฉันยังรักคุณนะ " เห็นมีแต่ผู้ชายที่พูดและแคร์โดยที่ในใจเธอคิดว่า มึ ... ไปได้ก็ดีรำคาญ อยากมาหาเองนี่เจ็บกลับไปสมควร ไม่คิดยังงี้หรอก

การแบ่งเรทหนังฝรั่ง

ผู้ที่ทำหน้าที่แบ่งหนังออกเป็นประเภทต่างๆ คือ
สมาคมภาพยนต์แห่งสหรัฐฯ
ซึ่งทำหน้าที่นี้มานานถึง 25 ปีแล้วโดยแบ่งเป็น

G
(general audiences)
คนทุกเพศทุกวัยดูได้
PG
(parential guidance)
พ่อแม่แนะนำให้ลูกดู
PG 13
(parents strongly cautioned)
พ่อแม่จะต้องใช้ดุลพินิจว่าสมควรให้ลูกดูหรือไม่
R
(restricted)
เด็กอายุต่ำกว่า 17 ปีเข้าดูตามลำพังไม่ได้
ยกเว้นมีผู้ใหญ่หรือผู้ปกครองไปด้วย
X or NC-17
(no children under 17)
ห้ามเด็กต่ำกว่าอายุ 17 ปีเข้าชม

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ของไทย เหรียญตราและยศของสหราชอาณาจักร


เครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบในราชการแผ่นดิน เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก เริ่มสถาปนาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สำหรับพระราชทานแก่ผู้ทำประโยชน์แก่ราชการหรือสาธารณชนมี 8 ชั้นดังนี้

ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์ช้าวเผือก (ม.ป.ช.)

ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.)
ชั้นที่ 2 ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก (ท.ช.)
ชั้นที่ 3 ตริตาภรณ์ช้างเผือก (ต.ช.)
ชั้นที่ 4 จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก (จ.ช.)
ชั้นที่ 5 เบญจมาภรณ์ช้างเผือก (บ.ช.)
ชั้นที่ 6 เหรียญทองช้างเผือก (ร.ท.ช.)
ชั้นที่ 7 เหรียญเงินช้างเผือก (ร.ง.ช.)


เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยิ่งมงกุฏไทย เริ่มสถาปนาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สำหรับพระราชทานแก่ผู้ทำประโยชน์แก่ราชการหรือสาธารณชน มี 8 ชั้นดังนี้

ชั้นสูงสุด มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)

ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์มงกุฏไทย (ป.ม.)
ชั้นที่ 2 ทวีติยาภรณ์มงกุฏไทย (ท.ม.)
ชั้นที่ 3 ตริตาภรณ์มงกุฏไทย (ต.ม.)
ชั้นที่ 4 จัตุรถาภรณ์มงกุฏไทย (จ.ม.)
ชั้นที่ 5 เบญจมาภรณ์มงกุฏไทย (บ.ม.)
ชั้นที่ 6 เหรียญทองมงกุฏไทย (ร.ท.ม.)
ชั้นที่ 7 เหรียญเงินมงกุฏไทย (ร.ง.ม.)

ผู้ประกอบคุณงามความดีอย่างยิ่งแก่สังคมในประเทศสหราชอาณาจักรจะได้รับการตอบแทน ให้เป็นสมาชิกของเฮาส์ออฟลอร์ดส์หรือได้รับเกียรติตามแบบโบราณในการมียศตามหลังชื่อ ซึ่งมีมากมาย ที่รู้จักกันดีได้แก่

KG Knight of the Order of the Garter
KT Knight of the Order of the Thistle
GCB Knight Grand Cross of the Order of the Bath
OM Order of Merit
CH Companion of Honour
KCMG Knight Commander of the Order of St Micheal and St George
KBE Knight Commander of the Order of the British Empire
DBE Dame Commander of the Order of the British Empire
CMG Companion of the Order of St Micheal and St George
CBE Commander of the Order of the British Empire
OBE Officer of the Order of the British Empire
MBE Member of the Order of the British Empire

ในสหราชอาณาจักร ทำเนียบขุนนางประกอบด้วยหกชั้นหลัก ได้แก่ รอยัลดยุค, ดยุค, มาร์ควิส, เอิร์ล, ไวส์เคานต์, บารอนหรือบารอนเนส นับตั้งแต่ ค.ศ. 1958 มีการตั้งทำเนียบขุนนางที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสืบสายเลือด

ชนิดของกาแฟ


ชนิดของกาแฟในรูปแบบต่างๆ มีดังนี้


เอสเปรสโซ (Espresso)
เป็นกาแฟที่ถูกเตรียมด้วยเครื่องพิเศษ
จากเมล็ดกาแฟบดละเอียด
ถูกขับผ่านออกมาในรูปของไอน้ำภายใต้ความดันสูง
กรรมวิธีนี้ใช้เวลาประมาณ 18-25 วินาที
1 ช็อทของเอสเปรสโซมีปริมาณ 1-2 ออนซ์
ผิวหน้าของกาแฟจะเป็นฟองครีมสีทอง
ซึ่งควรจะใส่ด้วยถ้วยที่จะเสริฟ โดยตรง


คาปูชิโน (Cappucino)
เป็นเครื่องดื่มเอสเปรสโซ
ที่มีการใส่นมและฟองนมลงไป
ในส่วนที่เหลือของถ้วย
ในอัตราส่วนที่เท่ากัน





ลาเต้ (Latte)
เป็นเครื่องดื่มเอสเปรสโซที่เติมนมร้อนลงไป
แล้วปิดหน้าด้วยฟองนม
จำนวนเล็กน้อย (ประมาณ 1/2 นิ้ว)






มอคคา (Mocha)
เป็นเครื่องดื่มเอสเปรสโซที่มีการผสม
น้ำเชื่อมช็อกโกแลตและนมร้อนลงไป
ก่อนที่จะปิดด้วยวิปครีม
มอคคา ก็คือลาเต้ที่แต่งกลิ่นรส
ด้วยน้ำเชื่อมรสช็อกโกแลตนั่นเอง





อเมริกาโน (Americano)
อเมริกาโน ก็คือเครื่องดื่มเอสเปรสโซ
ที่ถูกทำให้เจือจางลงด้วยน้ำร้อน
เพื่อทำให้ได้กาแฟรสชาติเยี่ยมเต็มถ้วย

ชื่อเต็มกรุงเทพฯ


กรุงเทพมหานคร อมรรัตรโกสินทร์ มหินทรายุธยา
มหาดิลกภพนพรัตนราชธานีบูรีรมย์
อุดมราชนิเวศน์ มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต
สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์


- คำอ่าน ภาษาไทย -

กรุง-เทบ-มะ-หา-นะ-คอน
อะ-มอน-รัด-ตะ-นะ-โก-สิน มะ-หิน-ทะ-รา-ยุด-ทะ-ยา
มะ-หา-ดิ-ลก-พบ-นบ-พะ-รัด-ราด-ชะ-ทา-นี-บู-รี-รม
อุ-ดม-ราด-ชะ-นิ-เวด-มะ-หา-สะ-ถาน
อะ-มอน-พิ-มาน-อะ-วะ-ตาน-สะ-ถิด
สัก-กะ-ทัด-ติ-ยะ-วิด-สะ-นุ-กำ-ประ-สิด


- คำอ่าน ภาษาอังกฤษ -

KRUNG-THEP-MA-HA-NA-KHON
A-MON-RAT-TA-NA-KO-SIN
MA-HIN-THA-RA-YUT-THA-YA
MA-HA-DI-LOK-PHOP-NOP-PHA-RAT
RAT-CHA-THA-NI-BU-RI-ROM
U-DOM-RAT-CHA-NI-WET-MA-HA-SA-THAN
A-MON-PHI-MAN-A-WA-TAN-SA-THIT
SAK-KA-THAT-TI-YA-WIT-SA-NU-KAM-PRA-SIT


- คำแปลเป็น ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ -

T : กรุงเทพมหานคร อมรรัตรโกสินทร์ มหินทรายุธยา
E : City of Angels, Great City of Immortals,
พระนครอันกว้างใหญ่ดุจเทพนคร
เป็นที่สถิตของพระแก้วมรกต เป็นนครที่ไม่มีใครรบชนะได้

T : มหาดิลกภพนพรัตนราชธานีบูรีรมย์
E : Magnificent City of the Nine Gems, Seat of the King,
มีความงามอันมั่นคงและเจริญยิ่ง
เป็นเมืองหลวงที่บริบูรณ์ด้วยแก้วเก้าประการ
น่ารื่นรมย์ยิ่ง อุดมราชนิเวศน์

T : มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต
E : City of Royal Palaces, Home of the Gods Incarnate,
มีพระราชนิเวศใหญ่โตมากมาย
เป็นวิมานเทพที่ประทับของพระราชาผู้อวตารลงมา

T : สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์
E : Erected by Visvakarman at Indra's Behest.
ซึ่งท้าวสักกเทวราชพระราชทานให้พระวิษณุกรรมลงมาเนรมิตไว้


เบียร์มีกี่ประเภท


เบียร์เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดแรกของโลก
และเป็นที่นิยมของผู้บริโภคมาตั้งแต่สมัยโบราณ
(6,000 ปีก่อนศริสตกาล)
วัตถุดิบที่ใช้ผลิตเบียร์ได้แก่...ข้าว
ซึ่งจะเป็นข้าวอะไรก็ได้ เช่น

ญี่ปุ่นใช้...ข้าวเจ้า
รัสเซียใช้...ข้าวไร
เยอรมนีและ"ไทย"ใช้...ข้าวบาร์เลย์
นอกจากนี้ข้าวโพดก็ใช้ทำเบียร์ได้

ใน..แม็กซิโก..บางท้องถิ่นก็ใช้..ต้นแคกตัส
กลิ่นและรสเบียร์มาจาก..ดอกฮอป (hop)
ซึ่งเป็นไม้เลื้อยชนิดหนึ่ง
ถ้าใส่ดอกฮอปจะได้รสขมอย่างอ่อนๆ ของเบียร์
แต่ถ้าหากไม่ใส่ดอกฮอปก็จะได้...ไวน์...แทน

ฮอปที่ปลูกในแต่ละที่ให้รสชาติต่างกันเล็กน้อย
ถ้าจะให้ดีต้องมาจากสาธารณรัฐเช็ก
ผู้ผลิตเบียร์แต่ละคนจะมีสูตรผสมดอกฮอปต่างกัน
เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเบียร์แต่ละอย่าง
ประเภทของเบียร์สามารถจำแนกได้ดังนี้




1. เอลเบียร์ (ale beer)
มีสีดำอ่อนแต่ขมมาก
เพราะใช้ยีสต์ประเภททอปยีสต์ในการหมัก
มีกลิ่นของมอลต์
หมักด้วยอุณหภูมิที่สูงมากพอสมควร




2. ลาเกอร์เบียร์ (lager beer)
ผลิตจาก..มอลต์ บางครั้งอาจใช้...
เมล็ดข้าวโพด...แทนได้
สีของเบียร์จะไม่เข้ม แอลกอฮอล์ค่อนข้างสูง
เมืองไทยมีเบียร์ประเภทนี้มากที่สุด
เนื่องจากรสชาติถูกคอคนไทย
ผลิตมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา
ถ้าหากลดดีกรีแอลกอฮอล์ลง
จะกลายเป็น..ไลต์เบียร์



3. สเตาต์เบียร์ (stout beer)

เป็นเบียร์ที่มีสีดำเข้มข้นจัดเป็นเอลเบียร์ประเภทหนึ่ง
แต่สเตาต์เบียร์มีรสชาติหวานกว่า
มีกลิ่นฉุนของดอกฮอปและมอลต์ชัดเจนกว่า
เป็นที่นิยมมากในแถบสหราชอาณาจักร
ในเมืองไทยราคาค่อนข้างแพง
แต่คอเบียร์ที่มีอายุจะชอบ เพราะเชื่อว่าสเตาต์เบียร์
บำรุงสุขภาพมากกว่าเบียร์ประเภทอื่นๆ

โคคา-โคล่า เครื่องดื่มที่ติดปากของคนทั่วโลก


สูตรลึกลับของเครื่องดื่ม โคคา-โคล่า บริษัท ทรัสต์ คอมพานี แห่งรัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐฯ เป็นที่เก็บสูตรลับของเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในโลกชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า โคคา-โคล่า หรือคนทั่วไปเรียกว่า โค้ก สูตรลับนี้มีผู้ที่สามารถเปิดดูได้เพียงคนเดียวเท่านั้นคือผู้อำนวยการบริษัท ถึงแม้จะมีผู้จัดจำหน่ายอยู่หลายแห่งทั่วโลก แต่ไม่มีสักรายที่ล่วงรู้ส่วนผสมที่แท้จริง เพราะบริษัทจะจัดส่งหัวเชื้อซึ่งเป็นน้ำเชื่อมและส่วนผสมอื่นๆ ให้ผู้แทนจำหน่ายไปผสมกับน้ำโซดา แม้กระทั่งรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ไม่สามารถล่วงรู้สูตรลับของโคคา-โคล่า ได้

ปี ค.ศ.1983 นักเขียนอเมริกัน วิลเลียม พาวน์สโตน ตีพิมพ์ผลงานที่มีความยากลำบากในการค้นคว้าชื่อว่า Top Secret เขาบอกว่า ส่วนผสมหลักของโค้ก บริษัทจะกำหนดเป็นส่วนผสมหมายเลข 1-9 และเรียกว่าเป็นสินค้านั้น มีดังนี้คือ 1.น้ำตาล 2.น้ำตาลไหม้ 3.กาเฟอีน(ไร้กาเฟอีน) 4.กรดฟอสฟอริก 5.สารสกัดจากใบโคคา(สกัดเอาโคเคนออกแล้ว) และสารสกัดจากเมล็ดโคลาปริมาณเล็กน้อย 6.กรดน้ำส้ม และโซเดียมไซเทรต 7X.มะนาวฝรั่ง ส้ม มะนาว แคสเซีย(cassia คืออบเชยชนิดหนึ่ง) น้ำมันลูกจันทร์เทศ และสารอื่นๆ 8.กลีเซอรีน 9.วานิลลา

การวิเคราะห์สารเคมีทำให้รู้ส่วนผสมบางอย่าง แต่ส่วนที่ค้นพบยากที่สุดคือส่วนที่เป็นหัวน้ำมันหอมระเหยใน สินค้าหมายเลย 7X (ไม่มีคำอธิบายความหมายของ X) การนำเอาหัวเชื้อเหล่านี้มาผสมกันใช่ว่าจะได้กลิ่นและรสชาติตามสูตรของโคคา-โคล่า เพราะน้ำมันเหล่านี้จะทำปฏิกิริยากันเกิดเป็นกลิ่นและรสชาติอื่นๆ ได้อีก การที่จะลอกเลียนแบบต้องรู้ส่วนผสมและสัดส่วนที่แท้จริง ซึ่งยากในการวิเคราะห์ ด้วยเหตุนี้ส่วนผสมก็ยังคงเป็นความลับสุดยอดของโคคา-โคล่า จนถึงทุกวันนี้

เครื่องดื่มที่ติดปากของคนทั่วโลกดร.จอห์น เอส เพมเบอร์ตัน เป็นผู้คิดค้นสูตรดั้งเดิมของโคคา-โคล่า เขาเป็นเภสัชกรที่แอตแลนตา จอร์เจีย ในปี ค.ศ.1885 เขานำเอาเครื่องดื่มที่ผสมเหล้าองุ่นแดงมาดัดแปลโดยผสมใบโคคาลงไปด้วย ซึ่งโคคามีสารที่กระตุ้นประสาทที่เรียกว่าโคเคน แต่กลับขายไม่ดี เขาจึงปรับปรุงสูตรอีกโดยเอาลูกโคลามาแทนเหล้าองุ่นแดง ซึ่งโคลานี้เป็นโคลาพันธุ์แอฟริกา มีสารประตุ้นประสาทที่เรียกว่า กาเฟอีน เข้าได้เติมน้ำตาลและแต่งกลิ่นไม่ให้ขม

สัญลักษณ์โคคา-โคล่า เป็นการออกแบบของหุ้นส่วนที่ชื่อว่า แฟรงค์ เอ็ม โรบินสัน เมื่อปี 1887 เพมเบอร์ตันขายสูตรนี้ให้ วิลลิส อี เวเนเบิล และ จอร์จ เอส ลอนเดส และอีก 5 เดือนต่อมาก็ขายต่อให้ วูลโฟล์ค วอล์เคอร์ และ เอ็ม ซี โดเซียร์ และต่อมาอีก 1 ปี ก็ขายให้ เอซา จี แคนด์เลอร์ ซึ่งเพมเบอร์ตันก็ถึงแก่กรรมในปีนั้น แคนด์เลอร์ได้ผสมส่วนผสมนี้กับน้ำโซดา และคิดว่าต้องเป็นเครื่องดื่มที่คนนิยมอย่างมาก จึงได้เก็บสูตรนี้ไว้เป็นความลับ แคนด์เลอร์ได้ปรับปรุงสูตรใหม่อีก และรับแฟรงค์ เอ็ม โรบินสัน เข้าเป็นหุ้นส่วน และได้ก่อตั้งบริษัทโคคา-โคล่า ในปี 1892 จนถึงปี 1903 ก็มีเพียง 2 คนเท่านั้นที่รู้สูตรของเครื่องดื่มชนิดนี้ และมีสิทธิ์ในการผสมน้ำเชื่อมในห้องที่ปิดล็อกกุญแจ เขาได้แกะฉลากส่วนผสมต่างๆ ออกและชำระเงินด้วยตัวเองเพื่อไม่ให้ฝ่ายบัญชีรู้ว่าซื้อส่วนผสมอะไรมา เมื่อบริษัทเติบโตขึ้น เขาทั้งสองคนไม่สามารถผสมส่วนผสมต่างๆ ได้ด้วยตัวเองอีก เขาจึงกำหนดหมายเลข 1-9 เพื่อใช้เรียกชื่อส่วนผสม ผู้จัดการสาขาจะรู้เพียงสัดส่วนและวิธีผสมเท่านั้น

เมื่อปี 1909 รัฐบาลสหรัฐฯ ยื่นฟ้องบริษัทว่าใช้ส่วนผสมที่มีโคคาอยู่ด้วย ซึ่งอาจจะมีโคเคนผสมอยู่ คดียืดเยื้อกว่า 10 ปี แต่ก็ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าในส่วนผสมพบโคเคนอยู่ในสารสกัดโคคาหรือโคลาแม้แต่น้อยนิด วิลเลียม พาวน์สโตน กล่าวในหนังสือ Top Secret ว่า ในโคคา-โคล่า มีส่วนผสม โคคา หรือ โคลา เพียงนิดเดียว ซึ่งไม่มีผลต่อรสชาติสักเท่าใด ในสงครามโลกครั้งที่ 2 กองกำลังฝ่ายพันธมิตรในแอฟริกาได้สั่งซื้อโคคา-โคล่า จำนวนถึง 3 ล้านขวด ส่วนโคคา-โคล่าที่เป็นกระป๋องพึ่งมีในปี 1955

ทำไม...โดนัทจึงมีรู ???



ขนมโดนัทซึ่งเป็นขนมพื้นเมืองของเนเธอแลนด์ แต่เดิมไม่มีรูตรงกลาง แต่เป็นแป้งทอดมีรสหวาน บางครั้งโรยน้ำตาลด้วย มีชื่อภาษาดัตช์ที่แปลเป็นไทยได้ว่า ขนมน้ำมัน (oil cake)

ชาวยุโรปที่อพยพไปสหรัฐอเมริกาในต้นศตวรรษที่ 17 ได้นำขนม ประเภทนี้ไปด้วยเนื่องจากขนมนี้มีรูปร่างกลมเล็กเท่าลูกวอลนัท ชาวนิวอิงแลนด์ จึงเรียกขนมนี้ใหม่ว่า โด ซึ่งแปลว่า ก้อนแป้ง รูตรงกลางโดนัทเพิ่งเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 เมื่อนาย แฮนสัน เกรกอรี กัปตันเรือชาวเมืองรอคพอท รัฐเมน เจาะรูแป้งโดนัท ที่มารดากำลังจะทอด เพราะคิดว่าการขยายพื้นผิวหน้าของขนม จะทำให้ทอดได้ง่ายขึ้น และสุกเร็วขึ้น เพราะแต่เดิมนั้น ตรงกลางของโดนัทมักจะแฉะสุกไม่ทั่ว เมืองรอคพอทมีความภาคภูมิใจในรูของ โดนัทมาก ถึงกับสร้างป้ายทองแดงจารึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้เอาไว้

แผนไพรีพินาศ คืออะไร?

"แผนไพรีพินาศ" เป็นแผนยุทธการจัดวางกองกำลังและสลายการชุมนุมในลักษณะของแผนเผชิญเหตุ จัดทำขึ้นโดยกองกำลังรักษาพระนครตั้งแต่ปี พ.ศ.2524 เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความสงบ ได้แก่ ทหารบก ทหารอากาศ ตำรวจ และข้าราชการพลเรือน นำไปปฏิบัติ ต่อมาในปี พ.ศ.2527 และ พ.ศ.2529 ได้มีการพัฒนาปรับปรุงแผนให้สอดคล้องกับสถานการณ์มากขึ้น

ส่วนแผนที่มีผลบังคับใช้ขณะเกิดเหตุการณ์พฤษภาวิปโยค คือ แผนไพรีพินาศ/33 ซึ่งมี 4 ขั้นตอนได้แก่

ขั้นที่ 1 : ขั้นการเตรียมการโดยให้ทุกกองกำลังออกหาข่าว รวบรวมข่าวสาร และเตรียมกำลัง เจ้าหน้าที่ รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ในการปฏิบัติการ

ขั้นที่ 2 : ขั้นป้องกัน ใช้กองกำลังตำรวจในการสกัดกั้น ให้การประชาสัมพันธ์เพื่อให้ผู้ก่อความไม่สงบทราบถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์โดยถูกต้องและยุติการกระทำเอง ทางเจ้าหน้าที่จะปิดล้อมพื้นที่สำคัญ เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งอารักขาสถานที่และบุคคลสำคัญของประเทศ

ขั้นที่ 3 : ขั้นปราบปรามรุนแรง หากการปฏิบัติการขั้นที่ 2 หรือกองกำลังตำรวจไม่สามารถที่จะระงับสถานการณ์ได้สำเร็จและสถานการณ์ทวีความรุนแรงจนไม่สามารถควบคุมได้แล้ว จึงใช้กองกำลังของกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ เข้าระงับยับยั้งยุติภัยคุกคาม

ขั้นที่ 4 : ขั้นสุดท้าย คือ การส่งมอบพื้นที่และความรับผิดชอบให้แก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนหรือตำรวจรับผิดชอบต่อไปเมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้ว

ความน่ากลัวของ ศุกร์ 13

ความน่ากลัวของ ศุกร์ 13
ในหลายประเทศ เช่น อังกฤษ อเมริกา กรีก สเปน ฯลฯ
เชื่อว่าศุกร์ที่ ที่ 13 เป็นวันแห่งความโชคร้าย Black Fridays
ซึ่งมีคำศัพท์เฉพาะที่เรียกคนที่กลัวหมายเลข 13 ว่า
Paraskavedekatriaphobia ซึ่งมาจากภาษากรีก 3 คำ
คือ ศุกร์, สิบสาม และความกลัว
  • ทำไมต้องศุกร์ที่ 13
เริ่มจากวันศุกร์
ในวันศุกร์นั้นเป็นวันไม่ดีนัก จากประวัติศาสตร์ในพระคัมภีร์พบว่า
  • พระเยซูถูกตรึงกางเขนในวันศุกร์,
  • วันศุกร์เป็นวันที่อีฟ(ภรรยาของอาดัมมนุษย์คู่แรกของโลก) เอาผลไม้ต้องห้ามให้อาดัมกิน,
  • การสังหารกันเองระหว่างลูกสองของอีฟและอาดัม(คือ อาเบลและคาอิน)ก็เกิดขึ้นในวันศุกร์เช่นกัน,
  • ในโนอาห์ก็เกิดน้ำท่วมโลก
ซึ่งเหตุผลทั้งหลายนี้ทำให้คริสเตียนส่วนหนึ่ง(อังกฤษ เยอรมัน โปแลนด์ โปตุเกส)มองว่าวันศุกร์เป็นวันที่ไม่ดี

เลข 13

ส่วน 13 ที่มีความเชื่อว่าเป็นเลขอัปมงคลของฝรั่งนั้น ความจริงยังไม่มีใครหาต้นตอเจอ แต่เลข 13 มีประวัติว่ามีความเกี่ยวข้องกับเรื่องโชคร้ายมายาวนาน ตั้งแต่..
  • อาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซูร่วมเสวยกับสาวก มีคนร่วมรับประทานอาหารทั้งหมดรวมทั้งพระเยซูด้วยคือ 13 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นผุ้ทรยศต่อพระองค์(The Last Supper)
  • อีกกรณีหนึ่งเกิดขึ้นในยุโรปหลังสงครามครูเสดเป็นที่รวมศุกร์และวันที่ 13 ไว้รวมกัน เหตุการณ์วันนั้นเป็นการรวมบรรดาอัศวินที่ไปรบเพื่อศาสนากลับมาแล้วมีอำนาจมากจนทำให้ศาสนาจักรหาทางกำจัด ในปี ค.ศ.1307 ฝรั่งเศสสมัยกษัตริย์ฟิลิปที่ 4 เป็นวันทำการจับกุมอัศวินเหล่านั้นครั้งใหญ่ที่สุด ข้อหาเป็นคนนอกรีตซึ่งเป็นข้อหารุนแรงมากในขณะนั้น หลายคนถูกนำตัวไปทรมานและสังหาร เพื่อนำทรัพย์สินของพวกเขามาเป็นของฝรั่งเศส
  • นอกจากนี้ยังมีความเชื่อของชาวนอร์เวย์เชื่อว่า..เลข 13 เป็นเลขอัปมงคลเนื่องจากตามตำนานของพวกเขาเล่าถึงเกี่ยวกับเทพ 12 องค์ มารวมกันจัดงานเลี้ยงในห้องโถงของเอกีร์ เทพแห่งมหาสมุทร จู่ๆ มีเทพที่ไม่รับเชิญคือ เทพแห่งไฟที่ชื่อ โลกิ เข้ามางานเลี้ยง และไม่เพียงบุกเข้าไปเท่านั้นยังใช้ธนูยิงเทพบาล์เดอร์ เทพแห่งความสุข จนบาลเดอร์สิ้นลมหายใจตายไปในทันที ทำให้โลกต้องตกอยู่ในความมืดมิดและความเศร้าสลดไปทุกหนแห่ง
  • ศตวรรษที่ 18 มีการบันทึกเอาไว้ว่า ชาวอังกฤษเชื่อกันว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่คน 13 คนมานั่งทานอาหารร่วมโต๊ะเดียวกันแล้ว คนที่ลุกจากโต๊ะไปเป็นคนแรกจะเป็นคนแรกที่ต้องตาย

นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญยังบอกอีกว่า คนทั่วไปเชื่อว่า..เลขที่ 123 เป็นเลขไม่ดีนั้นมาจากความเชื่อว่า..เลข 12 เป็นเลขที่สมบูรณ์นั้นเอง เช่นหนึ่ง

ปีมี 12 เดือน,

ราศีมี 12 ราศี,

เทพเจ้ากรีกมี 12 องค์,

ชนเผ่าอิสราเอลมี 12 ชนเผ่า

และเลข 13 คือเลขที่บ่งบอกถึงความไม่ลงตัวเหมือนเลข 12 ทำให้เลข 13 จึงเป็นส่วนเกินเสมอ

  • ประวัติศาสตร์

จากประวัติศาสตร์เราพบว่ามีเหตุการณ์ไม่ดีในประวัติศาสตร์อยู่เยอะ ที่เกี่ยวข้องกับศุกร์ที่ 13 และนี้คือส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ที่ว่านั้น

  • วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ. 1869 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกา
  • วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ.1929 ตลาดหุ้นอเมริกาล่ม
  • วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ.1939 เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ในประเทศออสเตรเลีย
  • วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ.1945 เกิดสงคราทางอากาศครั้งสำคัญในนอร์เวย์,ฮอลลีวูดเกิดการประท้วงของสหภาพแรงงานในโรงถ่ายภาพยนต์วอร์เนอร์ การประท้วงลุกลามและรุนแรงจนเกิดการนองเลือดขึ้น
  • วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ. 1970 เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ พายุกระหน่ำมายังประเทศบังคลาเทศมีผู้เสียชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก
  • วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ.1978 เกิดการสังหารหมู่ในอิหร่าน
  • วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ.1982 อาร์เจนติน่ายกกองกำลังยึดเกาะฟอร์คแลนด์ซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษ
  • วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ.1989 บริษัทคอมพิวเตอร์ IBM เสียหายอย่างหนักเพราะโดยไวรัสคอมพิวเตอร์โจมตีระบบ
  • วันศุกร์ ที่ 13 ตุลาคม ค.ศ. 2006 พายุหิมะชื่อ Aphid พัดถล่มเมืองบัฟฟาโล่ รัฐนิวยอร์ค
  • วันศุกร์ ที่ 13 เมษายน 2007 เกิดทอร์นาโดหลายลูกพร้อมกันในทางเหนือของเท็กซัส

วารสารการแพทย์ของอังกฤษ

ในวารสารการแพทย์ของอังกฤษฉบับตีพิมพ์ ค.ศ.1993 รายงานว่าวันศุกร์ที่ 13 จะมีอุบัติเหตุทางการจราจรมากกว่าวันอื่นๆ ถึง 50 กว่าเปอร์เซ็นต์

โครงการอพอลโล 13 ของนาซ่า

นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นในโครงการอพอลโล 13 ของนาซ่า แม้ไม่เกิดขึ้นในวันศุกร์ก็เถอะ ยายอวกาศถูกปล่อยจากโลกถึงดวงจันทร์เมื่อวันที่ 11 เมษายน ค.ศ.1970 ก็เริ่มเกิดเหตุขัดข้องหลังจากยานเดินทางออกไปพ้นจากแรงดึงดูดของโลกแล้วสองวัน ทำให้ถังเก็บออกซิเจนกับระบบไฟฟ้าหลักที่เรียกว่า Sarvice Module เสียหายอย่างหนักจนต้องสละส่วนนั้นทิ้งไป คงเหลือแต่ยานควบคุมที่จะแล่นลงสู่ดวงจันทร์และนักบินอวกาศต้องเอาชีวิตรอดถึง 5 วันในการคอยจังหวะที่จะเดินทางกลับบ้าน และรอดตายอย่างปาฏิหารย์และปลอดภัยทุกคน

ดาวเคราะห์อาจพุ่งชนโลก

นอกจากนี้องค์กรนาซ่าพบดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่งชื่อ 2004 MN4 ซึ่งเป็นไปได้ 1 ใน 60 ที่อาจพุ่งชนโลกเมื่อ ศุกร์ ที่13 เมษายน ปีค.ศ.2029 ซึ่งการชนของมันอาจทำให้โลกหายนะได้

สหรัฐอเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้นักจิตวิทยายังพบว่า มีผู้เชื่อถือและคิดว่าศุกร์ที่ 13 โชคร้ายมากถึง 17 ล้านคน ในเมืองแอชวิลล์ มลรัฐนอร์ทแคโรไลนา ประเมินว่าในแต่ละครั้งที่มีวันศุกร์ที่ 13 สหรัฐอเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงิน 800 - 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯทีเดียว เพราะว่าประชาชนบางคนไม่กล้าเดินทางไปไหนและไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงาน

ประเทศตุรกี ตัดเลข 13 ออกจากสารบบตัวเลข...

ดังนั้นเมื่อวันศุกร์มาตรงกับวันที่ 13 จึงเหมือนเป็นวันมหาอัปมงคล แต่เหล่านี้เป็นเรื่องราวของความเชื่อในโชคลางเท่านั้น ซึ่งยากที่จะตรวจสอบ ถึงต้นตอของความจริง แต่คนก็ยังเชื่อกันอย่างกว้างขวางทั่วโลก เช่น... นักเดินเรือจะไม่ยอมออกเรือในวันที่ 13 หรือห้องพักตามโรงแรมต่างๆ ในบางประเทศ ไม่ค่อยมีห้องเบอร์ 13 หรือไม่มีชั้น 13 และที่แปลกก็คือ ประเทศตุรกี ตัดเลข 13 ออกจากสารบบตัวเลข...

  • ศุกร์ที่ 13 ในอนาคต

และนี้คือศุกร์ที่ 13 ในอนาคต ไปดูว่ามันมีเดือนอะไรบ้างที่เกิด ศูกร์ที่ 13

  • ค.ศ. 2009 กุมภาพันธ์ มีนาคม และพฤศจิกายน
  • ค.ศ. 2010 สิงหาคม
  • ค.ศ. 2011 พฤษภาคม
  • ค.ศ. 2012 มกราคม เมษายน และกรกฎาคม
  • ค.ศ. 2013 กันยายนและธันวาคม
  • ค.ศ. 2014 มิถุนายน
  • ค.ศ. 2015 กุมภาพันธ์ มีนาคม พฤศจิกายน
  • ค.ศ. 2016 พฤษภาคม
  • ค.ศ. 2017 มกราคม และตุลาคม

ที่มาจาก : http://www.fwdder.com

http://dek-d.com/board/view.php?id=1261066

มดมีอายุยืนแค่ไหน





อาณาจักรมด ประกอบไปด้วย
1. นางพญา
2. มดตัวผู้
3. มดงาน
4. และมดทหาร

อายุของมดแต่ละชนิด แบ่งไปตามหน้าที่ของมัน

* ตัวผู้...........................มีอายุสั้นที่สุด มีหน้าที่ผสมพันธุ์กับนางพญาเพียงครั้งเดียวแล้วก็ตายไป
* มดงานและมดทหาร.......มีอายุยืนกว่า มีอายุราว 6-7 ปี
* และมดนางพญา...........มีอายุยืนที่สุด มดนางพญาสามารถออกลูกได้แม้เมื่ออายุ 10 ปี มดนางพญามีอายุยืนจะเป็นสิ่งที่ดีต่ออาณาจักรของมด เพราะเมื่อมดนางพญาตายอาณาจักรมดนั้นจะสูญสิ้นทันที เพราะฉะนั้นมดจึงให้ความสำคัญต่อมดนางพญามาก จึงพากันเก็บซากมดนางพญาที่ตายแล้วไว้ จนกระทั่งไม่ค่อยมีซากเหลือ และในที่สุดอาณาจักรมดนั้นก็แตกสลายลงเอง เพราะไม่มีมดงานและมดทหารทดแทนส่วนที่ล้มตายไป
















พาสต้า มีกี่ชนิด

อาหารจำพวกเส้นๆ ของอิตาเลียนทั้งหลายทั้งปวงนั้น
เรียกโดยรวมว่า พาสต้า (pasta)


  • นวดจากแป้งสาลี น้ำ ไข่ จากนั้นนำมารีดหรืออัดด้วยความดันเป็นแผ่นแล้วตัดเป็นเส้น หรืออัดเป็นรูปทรงต่างๆ ก่อนนำไปอบแห้ง

  • คุณสมบัติแป้งจะมีโปรตีนสูงกว่าแป้งทั่วไป

  • เมื่อเราจะกินก็ทำให้สุกโดยการต้ม ปรุงได้หลากหลาย ทั้งเบื้องต้นแบบที่กินราดซอสหลากหลายประเภทที่มักมีส่วนประกอบหลักคือน้ำมันมะกอก ผัก เครื่องเทศ และเนยแข็ง หรือแบบผัดต่างๆ

  • พาสต้ามีกว่า 600 ชนิด หากแบบตามรูปแบบจะได้ 4 แบบใหญ่ๆ ได้แก่

    1. ชนิดเส้นยาว (long goods) เส้นยาวขนาดเล็ก
    2. ชนิดมีรูกลวง (short goods) เส้นกลมใหญ่ มีรูตรงกลาง มีขนาดเส้นทั้งยาวและสั้น
    3. ชนิดรูปร่างพิเศษ (specialty items) มีขนาดใหญ่และรูปร่างแปลก
    4. บะหมี่ไข่ (egg noodles) มีไข่เป็นส่วนผสมอยู่ 5.5%


พาสต้าชนิดต่างๆ มีดังนี้


  1. สปาเกตตี (Spaghetti) แบบเส้นกลมยาว และมะกะโรนี (Macaroni) แบบเส้นกลมยาวมีรูกลมตรงกลาง





  2. มะกะโรนีเอลโบ (Elbow Macaroni) ลักษณะเป็นหลอดโค้งๆ เหมือนข้อต่อ ยาวประมาณ 1 นิ้ว ส่วนใหญ่ใช้ต้มเป็นซุปมะกะโรนี





  3. ลิงกวินี (Linguine) เป็นเส้นยาวแบนเล็กน้อย เส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 1/8 นิ้วเท่านั้น กินกับซอสหอยลายขาว ซอสเพสโต(โหระพา) และซอสที่ใช้น้ำมันเป็นส่วนประกอบ




  4. ฟูซิลี (Fusilli) แบบเส้นเกลียวสั้นเหมือนสกรู มีความหนากว่าเส้นสปาเกตตีหรือพาสต้าทั่วไป ทานกับซอสเนื้อตำรับดั้งเดิม หรือใช้กับเมนูที่เป็นพาสต้าอบกับชีสชนิดต่างๆ




  5. เพนเน (Penne) แบบท่อขนาดกลาง ตัดเฉียงที่ปลายทั้งสองด้าน






  6. ริกาโทนี (Rigatoni) แบบท่อสั้นขนาดใหญ่ พื้นผิวด้านนอกหยัก






  7. ราวิโอลี (Ravioli) แป้งพาสต้าแบบแผ่นห่อไส้ผัก หรือชีส หรือเนื้อสัตว์ คล้ายเกี๊ยว





  8. ฟาร์ฟาเล่ (Farfalle) รูปผีเสื้อตัวแบนๆ มีรอยพับตรงกลาง กินกับซอสมะเขือเทศ หรือซอสที่ทำจากเนยแข็ง





  9. เฟตตุชินี (Fettucini) เส้นยาวแบน กว้าง 0.5 นิ้ว เหมือนเส้นริบบิ้น ส่วนใหญ่ทานกับซอสขาวข้นๆ หรือซอสเห็ด 10.ลาซานย่า (Lasagna) แผ่นบางขนาด 3x3 นิ้ว ขอบจีบเป็นหยักๆ ส่วนใหญ่นิยมอบกับชีสวางซ้อนกันหลายๆ ชั้น 11.เวอร์มิเซลลี่ (Vermicelli) รูปร่างเป็นเส้นยาวกลวง นิยมกินโดยต้มจนนุ่มแล้วฉีกออกใส่ในซุปใสต่างๆ


วิธีการต้มเส้นพาสต้า

  • เริ่มจากนำหม้อทรงสูงก้นลึกมาใส่น้ำประมาณ 1/2 หรือ 3/4 ของหม้อ ตั้งไฟ
  • ใส่เกลือป่นลงไปประมาณ 1-2 ช้อนชา ตามด้วยน้ำมันมะกอก (หรือน้ำมันพืช) ประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ เพื่อไม่ให้เส้นเกาะตัวกัน
  • เมื่อน้ำเดือดดีแล้วใส่เส้นพาสต้าที่ต้องการลงไปต้ม โดยค่อยๆ ทยอยใส่เส้นลงไปทีละน้อยติดต่อกันไปเรื่อยๆ อย่าใส่เส้นลงไปพร้อมกันทั้งหมดในคราวเดียว เพราะเส้นพาสต้าจะกอดกัน ทำให้สุกไม่ทั่วถึงกันได้ และอย่าลืมใช้ทัพพีคนเส้นบ่อยๆ (อย่างเบามือ) เพื่อไม่ให้เส้นติดก้นหม้อ
  • เมื่อเส้นพาสต้าสุกได้ที่แล้วให้ตักใส่กระชอนหรือเทใส่ตะแกรงแล้วราดด้วยน้ำเย็นทันที ไม่เช่นนั้นความร้อนที่มีอยู่ในเส้นจะทำให้เส้นระอุไปเรื่อยๆ ทำให้เส้นพาสต้าที่ต้มสุกแล้วเละได้ เมื่อราดเส้นด้วยน้ำเย็นแล้ว ทิ้งไว้ให้ สะด็ดน้ำแล้วนำมาคลุกด้วยเนยละลาย หรือน้ำมันมะกอก พร้อมสำหรับปรุงสารพันเมนู

ระยะเวลาที่ใช้ในการต้มเส้น

  • ระยะเวลาที่ใช้ในการต้มเส้น หากเป็นเส้นพาสต้าสดจะใช้เวลาต้มไม่นาน คืออยู่ระหว่าง 3-5 นาที แต่ส่วนใหญ่มักจะนิยมใช้เส้นพาสต้าแบบแห้ง ดังนั้นระยะเวลาในการต้มเส้นแต่ละชนิดควรต้มตามคำแนะนำที่มีระบุไว้ข้างกล่องหรือข้างซอง เพราะแต่ละผลิตภัณฑ์อาจใช้เวลาในการต้มไม่เท่ากัน แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะอยู่ที่ระหว่าง 8-12 นาที

ที่มา : www.khaosod.co.th

คุณลุงหน้าร้าน KFC เป็นใคร??

หุ่นชายแก่ที่เราเห็นเวลาผ่านร้านเคเอฟซี
นั้นคือผู้ก่อตั้งเคเอฟซี ตั้งแต่ปี ค.ศ.1939
เขาชื่อว่า...
ฮาร์แลนด์ ดี แซนเดอร์ส
เกิดวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1890
มีพี่น้องทั้งหมด 3 คน เป็นลูกชายคนโต
6 ขวบ
เมื่อเขาอายุได้เพียง 6 ขวบ บิดาก็เสียชีวิต ทำให้แม่ต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวเพียงคนเดียว แซนเดอร์ส เด็กน้อยอายุ 6 ขวบ ต้องรับภาระเลี้ยงดู น้องชายอายุ 3 ขวบ และน้องสาวยังเล็ก เขาต้องทำงานบ้านทุกอย่างรวมถึงทำอาหารเองด้วย แซนเดอร์ส มีความสามารถในเรื่องนี้มาก จนได้รางวัลชนะเลิศในการประกวด ทำอาหารประจำหมู่บ้าน ขณะที่อายุได้เพียง 7 ขวบเท่านั้น

อายุ 10 ปี
แซนเดอร์สเริ่มรับจ้างทำงานครั้งแรก เมื่อมีอายุได้ 10 ปี โดยเริ่มจาก การทำงานในฟาร์มใกล้บ้านได้ค่าแรงเพียง เดือนละ 2 ดอลลาร์
อายุ 12 ปี
อายุได้ 12 ปี เขาก็ออกจากบ้าน ไปทำงานที่ฟาร์มในหมู่บ้านเฮนรี วิลล์ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตการทำงานหลาย ๆ อย่าง ที่เขาเคยทำ เช่น เป็นนักดับเพลิง ฝึกงานที่ศาล ขายประกัน ขายยาง ทำงานที่สถานีขนส่ง
อายุ 47 ปี
เมื่ออายุ 47 ปี แซนเดอร์สก็เริ่มทำอาหารจำหน่ายที่สถานีขนส่ง ในรัฐเคนตั๊กกี้ ปรากฏว่าอาหารที่เขาทำเป็นที่นิยมมาก แซนเดอร์ส จึงลาออกไปทำร้านอาหาร

หลังจากนั้นอีก 9 ปี
เขาได้คิดค้นสูตรการปรุงไก่ทอดด้วยส่วนผสมลับเฉพาะ จากเครื่องเทศ 11 ชนิด และใช้วิธีการทอดไก่แบบพิเศษ เพื่อรักษารสชาติ และความหอมอร่อย ของไก่ทอดไว้ ซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดไก่ทอด สูตรต้นตำรับ เคเอฟซี แซนเดอร์ส สร้างชื่อให้รัฐเคนตั๊กกี้มาก ผู้ว่าการรัฐจึงแต่งตั้งให้เขาเป็น "ผู้พันแซนเดอร์ส" เพื่อเป็นเกียรติ

.......จนถึงวันนี้เคเอฟซี ได้ขยายสาขา มากกว่า 29,500 แห่งใน 92 ประเทศทั่วโลก
...โดยมี หุ่นจำลองของผู้พันแซนเดอร์ส ตั้งอยู่หน้าร้าน
เหมือนเป็นเครื่องรับประกันถึงความอร่อย ของไก่ทอด ตำหรับ KFC
COLONEL SANDERS THE LEGENDARY CHICKEN EXPERT

1890 ตำนานความอร่อยของไก่ทอด KFC เริ่มต้นโดย
พันเอกฮาร์แลนด์ ดี แซนเดอร์ส
ท่านถือกำเนิดขึ้นในเมืองคอร์บิน มลรัฐเคนตั๊กกี้ เมื่อวันที่ 9 กันยายน
ในปี 1890 1930 ในช่วงปี 1930 พันเอกฮาร์แลนด์ ดี แซนเดอร์ส
เริ่มปรุงไก่ทอดที่แสนอร่อย ให้แก่นักเดินทางทั่วไป
ที่มาหยุดพักรับประทานอาหารที่ร้านของท่านในเมือง คอร์บิน มลรัฐเคนตั๊กกี้

1939 ชื่อผู้พันแซนเดอร์สเริ่มเป็นที่รู้จัก
ในปี 1939 พันเอกฮาร์แลนด์ ดี แซนเดอร์ส
ได้รับเกียรติจากมลรัฐเคนตั๊กกี้แต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้พันเคนตั๊กกี้
แทนความยินดีจากผู้ว่ามลรัฐ เคนตั๊กกี้ที่ท่านได้สร้างชื่อเสียงให้แก่รัฐ
เพราะท่านได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจ เพื่อคิดค้นสูตรไก่ทอดที่แสนอร่อย
โดยนำไก่มาคลุกเคล้ากับเครื่องเทศ 11 ชนิด
และใช้วิธีพิเศษ ของการทอดด้วยเตาทอดระบบ ความดัน
เพื่อรักษา รสชาติ หอมอร่อยของไก่

1950 ด้วยความมั่นใจในรสชาติ และคุณภาพของไก่ทอด
ในปี 1950 ผู้พันเริ่มออกเดินทางไปทั่วสหรัฐอเมริกา
และแคนาดาด้วยตัวท่านเองจากร้านหนึ่งไปสู่อีก ร้านหนึ่ง
เพื่อขายแฟรนไชส์ ธุรกิจของท่าน


ในปี 1955 ไก่ทอดเคนตั๊กกี้ได้ก่อตัวขึ้นในรูปบริษัท เป็นครั้งแรก
โดยผู้ก่อตั้งคือผู้พันแซนเดอร์ส

มาในปี 1964 ผู้พันแซนเดอร์สได้ขายกิจการไก่ทอดเคนตั๊กกี้
ให้แก่กลุ่มนักลงทุนมืออาชีพที่มี
Jack Massey และ John Y. Brown Jr. เป็นแกนนำ

1978 เพื่อรักษาไก่ทอดเคนตั๊กกี้ ให้คงคุณภาพและรสชาติ แบบดั้งเดิม
จึงมีการเปิดศูนย์ฝึกอบรมแห่งชาติของ KFC ขึ้นในปี 1978
โดยมีผู้พันแซนเดอร์สเป็นผู้ตรวจสอบการรักษารสชาติ
พีท ฮาร์แมน ผู้ที่ได้แฟรนไชส์เป็นรายแรก

แล้วในปี 1980 ผู้พันแซนเดอร์สก็ถึงแก่กรรม
ท่านอายุได้ 90 ปี ร่างของท่านถูกนำไปตั้ง
ณ ที่ทำการของเมืองหลวง มลรัฐเคนตั๊กกี้
และจากนั้นได้ถูกนำไปฝังที่สุสาน เดฟฮิลล์ เมืองหลุยวิลล์

ในปัจจุบัน KFC มีเครือข่ายของร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดของโลก
โดยมีร้านที่ให้บริการอาหาร และของว่าง
มากกว่า 29,500 แห่ง ในกว่า 92 ประเทศทั่วโลก
KFC ภายใต้ความยิ่งใหญ่ของ ผู้พันแซนเดอร์ส
ถือเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
และยังคงก้าวต่อไปอย่างมั่นคงด้วยคุณภาพ
และสำนึกในความรับผิดชอบที่ดีต่อสังคม
ไม่ว่าท่านจะอยู่ในประเทศใดท่านจะสามารถสัมผัสและระลึกถึงผู้พัน แซนเดอร์ส
ตำนานแห่งไก่ทอดแสนอร่อยของ KFC ได้เสมอ